วิบากกรรมของโดนัลด์ ทรัมป์ โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

จากการสำรวจประชามติของ “United States Gallup polls” เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2020 อันเกี่ยวกับผลงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรากฏว่า

1 พอใจผลงานโดนัลด์ ทรัมป์ ร้อยละ 49 ทำลายสถิติ

1 การสนับสนุนในพรรคร้อยละ 51 เทียบกับเดือนกันยายน 2019 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8

ก็เพราะอัตราคนตกงานต่ำสุดในรอบครึ่งศตวรรษ สร้างงานให้แก่อเมริกันชนถึง 7 ล้านตำแหน่ง เพิ่มรายได้ของคนทำงานในโรงงาน และคนระดับกลาง

Advertisement

เวลา 3 ปีที่ผ่านมา ผลงานที่โดดเด่นของทรัมป์คือ อัตราคนตกงานต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ประวัติศาสตร์อเมริกันบอกเราว่า ไม่ว่าประธานาธิบดีคนใด สามารถทำให้อัตราการตกงานต่ำ โอกาสที่จะครองตำแหน่งอีก 1 สมัย นั้น ไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม

ฉะนั้น โอกาสที่ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 จึงค่อนข้างสูง

Advertisement

ทว่า “โควิด-19” เพียงงานเดียว ความนิยมของทรัมป์ไม่ต่างไปจากฤดูใบไม้ร่วง

“ร่วง” ขนาดทรัมป์เปิดอกกับผู้สื่อข่าว “Fox News” ว่า “ยอมแพ้”

เหลือเวลาประมาณ 4 เดือน ก็จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

การที่ทรัมป์จะครองแชมป์อีก 1 สมัย ความหวังเลือนราง

ดาวดวงนี้แสงพลันริบหรี่

ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวมีความตอนหนึ่งว่า “เขาคงจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน” “โจ ไบเดน” อาจเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

คนสนิทในคณะทำงานของทรัมป์กล่าวว่า หลังการพ่ายแพ้การรณรงค์หาเสียงที่รัฐ Oklahoma ทรัมป์ละเหี่ยใจ และหมดกำลังใจที่จะสู้ต่อ อาจพิจารณาถอนตัวเป็นผู้ป้องกันแชมป์

อดีตที่ปรึกษาทางการเมืองของทรัมป์คนหนึ่งกล่าวว่า ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ทรัมป์ไม่เพียงแต่จะต้องพ่ายแพ้หมดรูป หากเป็นการพ่ายแพ้ที่น่าเกลียดที่สุด

ถ้าการสนับสนุนลดลงถึงร้อยละ 35

น่าเชื่อว่า คะแนนที่จะแพ้ “โจ ไบเดน” ต้องเกินกว่า 400 บัตร

แต่นักวิเคราะห์บางคนเห็นว่า นิสัยที่ไม่ยอมแพ้ของทรัมป์อาจฉวยโอกาสท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด เปิดศึกก่อสงคราม และใช้เป็นข้ออ้างในการยกเลิกการเลือกตั้ง หรือเลื่อนการเลือกตั้ง

ส่วนคู่แข่งที่มาแรง “โจ ไบเดน” เปิดเผยว่า “ทรัมป์อาจไม่ยอมลุกจากเก้าอี้ประธานาธิบดี และอาจต้องอาศัยกำลังทหารคุ้มครองและเชิญให้ออกจากทำเนียบขาว”

การที่คะแนนนิยมของโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็น “ฤดูใบไม้ร่วง” มี 3 สาเหตุใหญ่ คือ

1.อัตราคนว่างงานสูงเป็นประวัติการณ์ คือ เดือนมกราคม 2020 ร้อยละ 3.6 (ทำลายสถิติการว่างงานต่ำสุด) เดือนมิถุนายน 2020 ร้อยละ 11.1 (ทำลายสถิติการว่างงานสูงสุด) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือจากสร้างงาน 7 ล้านตำแหน่ง กลายเป็นคนว่างงานประมาณ 40 ล้านคน

2.นโยบายการแก้ปัญหาของโรคระบาดมีความผิดพลาด ดูเหมือนควบคุมไม่ได้ เพราะมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นเป็นรายวัน เจ้าหน้าที่กองควบคุมโรคกล่าวว่า มีผู้ป่วยโควิด เข้ารับการรักษาประมาณ 1 แสนคนต่อวัน บัดนี้สหรัฐได้กลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก

3.แผนการเปิดเศรษฐกิจรอบใหม่ล้มเหลว ส่งผลให้เศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 ถดถอยรุนแรง และพอจะอนุมานได้ว่า การฟื้นตัวในไตรมาสที่ 3 คงมิใช่เรื่องง่าย รัฐบาลสหรัฐประมาณการว่า ผลกระทบจากเหตุการณ์โรคระบาดในครั้งนี้สาหัสกว่าวิกฤตเศรษฐกิจสึนามิเมื่อปี 2008

ความสาหัสของสหรัฐ อาทิ เกิดปัญหาฟองสบู่ก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมันหินดินดาน (Shale oil) ธุรกิจหลักหลายประเภทประสบปัญหาล้มละลาย
เนื่องจากการบริหารผิดพลาดของรัฐบาลทรัมป์ ประเด็นที่ถดถอยไม่เพียงแต่ปัญหาโควิดและการเงินการคลัง หากสังคม การเมือง เศรษฐกิจก็ต้องล้มเหลวไปด้วย

หากผู้ยึดถือลัทธิชาติพันธุ์ผิวขาวได้รับการปลุกปั่นจากทรัมป์ สหรัฐไม่เพียงกลายเป็นประเทศล้มเหลว (failed state) หากยังเป็นเมืองที่เปี่ยมด้วยภยันตราย ควันปืนทุกหย่อมย่าน

ต้องไม่ลืมว่า ภายใต้การบริหารของทรัมป์ อะไรก็เกิดขึ้นได้

บัดนี้ สังคมโลกต่างสปอตไลต์ไปที่สถานะทางการเมืองในอนาคตของทรัมป์

คำกล่าว “ยอมแพ้” ของเขา จะเชื่อถือได้อย่างไรขนาดไหน

จำต้องใส่เครื่องหมายปรัศนีไว้ก่อน

อาจเป็นกลลวงก็ได้ เพราะคำพูดของเขามีความเชื่อถือไม่มาก

อย่างไรก็ตาม พรรครีพับลิกันก็ต้องเตรียม “อะไหล่” ไว้สำรอง

พิเคราะห์แล้วเห็นว่ามีเพียงรองประธานาธิบดีไมก์ เพนซ์ แต่ก็หาใช่จะตีตื้นเรียกคะแนนคืนให้พรรครีพับลิกัน เพราะพฤติกรรมของ “ทรัมป์” และ “เพนซ์” ไม่แตกต่างกันมากนัก

นอกจากไมก์ เพนซ์ ก็มีกลุ่มที่เรียกกันว่า “Never Trumper” เช่น มิตต์ รอมนีย์ ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งเคยแตกแถวลงคะแนนเห็นชอบในการถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่งกรณี “ยูเครน” ซึ่งใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสภา

“มิตต์ รอมนีย์” คือนักการเมืองสอบตกใน Primary vote เพื่อชิงเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ทั้ง 2 คนสอนศิลป์ไม่กินกัน

แม้มิตต์ รอมนีย์ เปี่ยมด้วยประสบการณ์ทางการเมือง แต่เคยพ่ายแพ้บารัก โอบามา ในการเลือกตั้งมาแล้ว แพ้ในฐานะผู้ท้าชิง จึงเชื่อว่า โอกาสมิใช่เป็นของ มิตต์ รอมนีย์

ส่วนภาพลักษณ์ของโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะนี้ตกต่ำที่สุดทั้งนอกและใน

นอกคือ ความนิยมหายไปดุจใบไม้ร่วง

ในคือ บารมีในพรรคที่เปี่ยมล้นเมื่อวันวานที่ผันผ่าน วันนี้หมดลงแล้ว

อุปนิสัยของทรัมป์ที่ไม่ยอมฟังใคร ก่อให้เกิดศัตรูและความแตกแยกในพรรคนับวันมากขึ้น

ว่ากันว่า หากผู้ใดไปขอให้ทรัมป์ถนอมไมตรีหรือสร้างความสามัคคีในพรรค

กรณีไม่ต่างไปจากสีซอให้ควายฟัง

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นประธานาธิบดีอีก 1 สมัยนั้น

จึงไม่น่าจะเป็นไปได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image