ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
เผยแพร่ |
ยิ่งใกล้ 7 สิงหาคมเข้ามา
ภาพพร่ามัวเลือนรางของการทำประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ และ คสช. ก็มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
ชัดเจนในจุดยืนของแต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายที่มีต่อกรณีดังกล่าว
ฝั่งที่ยืนตรงข้ามกับรัฐบาล และ คสช. อย่างพรรคเพื่อไทย และเครือข่ายนักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และภาคพลเมือง
43 องค์กรนั้นชัดเจนมานานแล้ว
ชัดเจนว่าไม่รับ
27 กรกฎาคม อีกตัวละครสำคัญก็ออกโรง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป. แถลงจุดยืนเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญว่าในฐานะหัวหน้าพรรค เป็นอุดมการณ์ของพรรค ว่า
1.การกำหนดทิศทางของประเทศ หนีไม่พ้นการอาศัยหลักการประชาธิปไตย คือให้ประชาชนมีส่วนร่วม และการกำหนดสิทธิเสรีภาพมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อตามอุดมการณ์พรรคคือ การกระจายอำนาจสู่ชุมชนและท้องถิ่น
แต่ร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่สอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าวและมีหลักประกันสิทธิเสรีภาพน้อยกว่ารัฐธรรมนูญปี 2550
2.ความขัดแย้งต้องแก้ด้วยกระบวนการการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่ใช่แค่เลือกตั้งใช้เสียงข้างมาก แต่ต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างเหมาะสม
แต่กลไกของ ส.ว. 250 คน ที่มาจากการคัดเลือกกันเองในบทถาวร และแต่งตั้งในบทเฉพาะกาล ไม่ได้มาจากประชาชนจึงไม่สามารถแก้ปัญหาขัดแย้ง มีแต่จะสร้างคู่ขัดแย้งใหม่เกิดขึ้น
ส่วนกติกาที่ตั้งมาเป็นกติกาที่แก้ยากมาก เป็นตัวที่บีบรัดและตีกรอบความขัดแย้งในอนาคต
3.การแก้ไขปัญหาการทุจริต ตนสนับสนุนหลายมาตรา แต่การจับการทุจริตต้องเริ่มต้นจากบรรยากาศที่เปิด ประชาชนสามารถตรวจสอบเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเต็มที่
ตนสนับสนุนการปราบโกง แต่บทบัญญัติทำให้กระบวนการปราบโกงอ่อนแอลง ไม่ได้เป็นอย่างที่พูดกันว่าการปราบโกงเข้มข้นขึ้น
ดังนั้นจากโจทย์ 3 ข้อ จึงให้คำตอบว่าตนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญในฉบับนี้
ขอย้ำว่าเกณฑ์การพิจารณาไม่มีประเด็นใดเลยที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือกตั้งและการเมือง
แต่ที่ไม่รับเพราะเห็นว่าร่างนี้ไม่ตอบโจทย์ของประเทศ
เค้าลางที่ว่าชัดเจนมาตั้งแต่ก่อนการแถลงหนึ่งวัน
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ บรรยายเรื่อง “สาระสำคัญและประเด็นคำถามเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ” ว่า เจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต้องการแก้ปัญหาของประเทศที่ผ่านมา
นอกจากนั้นในเนื้อหามีบทบัญญัติว่าด้วยการปฏิรูป เพื่อกำหนดกรอบการทำงานให้เป็นผลสำเร็จ
“กรธ.ร่วมกันคิดอย่างสุดฤทธิ์สุดฝีมือ ศึกษามาจากสิ่งที่หลากหลายเพื่อทำสิ่งนี้ และคิดด้วยใจสุจริตว่าหากผ่านบ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าอย่างมีความสุข
“ส่วนที่มีคนพูดว่า อยากให้ลุงตู่อยู่ไปอีกก็ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการปล่อยข่าวที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด
“เพราะเมื่อร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ลุงตู่จะยิ่งไปเร็ว เพราะคนเหล่านั้นจะเดินขบวนขับไล่”
ที่มีการสำรวจทั้งโดยเปิดเผยและในทางลับ และได้ผลว่าคะแนนรับหรือไม่รับในการลงประชามติจะออกมา “สูสี” เป็นอย่างยิ่งนั้น
ก็พลันไม่แน่นอนเสียแล้ว
เมื่อพิจารณาจากคำให้สัมภาษณ์ของนายมีชัย
ที่เกาะสะเอว คสช. ให้อยู่หรือไปพร้อมกับร่างรัฐธรรมนูญ
เมื่อพิจารณาจากจุดยืนของนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์
ที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
ยังมิพักต้องกล่าวถึง “ความเข้มข้น” ในการจัดการกับผู้เห็นต่าง
ที่ล่าสุดถึงขั้น “ล้างบาง” ทั้งจังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งยังตอบไม่ได้ว่าจะส่งผลในทางบวกหรือลบ กับการรับหรือไม่รับในประชามติในช่วงอีก 10 วันข้างหน้า
ยาแรงถ้าถูกโรคก็อาจหายขาด
ยาแรงผิดโรคหรือผิดที่ ที่หวังว่าจะดีอาจจะออกมาเป็นร้าย
ยิ่งใกล้วันลงประชามติ 7 สิงหาคมเข้ามา ไม่เพียงแต่สถานการณ์และความตึงเครียดจะเพิ่มขึ้น
จุดยืนของบุคคลหรือกลุ่มองค์กรต่างๆ ก็จะชัดเจนขึ้นตามไปด้วย