คนตกสี : ฟ้ามืดเพียงไร แสงสว่างยิ่งใกล้มาถึง : โดย กล้า สมุทวณิช

มายาคติหนึ่งที่เหนี่ยวรั้งและกัดกินพัฒนาการทางประชาธิปไตยของประเทศ เกิดจากวาทกรรมที่ว่า “การปกครองระบอบไหนก็ไม่สำคัญไปกว่าประโยชน์สุขของประชาชน”

วาทกรรมดังกล่าวนำมาซึ่งการลดทอนคุณค่าของนักการเมืองที่เป็นผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งหรือเห็นชอบจากประชาชน เพ่งโทษชี้จุดบกพร่องให้เห็นว่าพวกเขาขี้โกง เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองหรือเฉพาะท้องถิ่นของตัวเอง ปลิ้นปล้อน เชื่อถือไม่ได้และแสวงหาอำนาจ เพื่อให้คนเชื่อว่ามีอำนาจอื่นที่บริสุทธิ์สะอาด เห็นแก่ส่วนรวม และมีประสิทธิภาพมากกว่า

ซึ่งแน่นอนว่าบางส่วนก็ปฏิเสธไม่ได้ ผู้แทนราษฎรนักการเมืองของเราส่วนหนึ่งก็เป็นจริงเช่นนั้น ประกอบกับการที่ผู้เผด็จการในยุคก่อนนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ อย่างน้อยก็ยังใช้ความพยายามบริหารประเทศที่ทำให้คนอยู่ดีกินดีมีสิทธิเสรีและสงบสันติตามสมควร รักษาความเป็นนิติรัฐในเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประชาชนอย่างเคร่งครัด และมีความรับผิดชอบและเห็นหัวประชาชนอยู่บ้าง แม้จะการรับผิดชอบด้วยลมปากท่าทีว่าขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว โดยเอาจริงก็ไม่ได้รับผิดอะไรจริงจัง แต่รวมกันแล้วมันก็ทำให้ประชาชนนับถือศรัทธาจนเชื่อไปว่าระบอบอะไรก็ไม่สำคัญอยู่ได้

ความเชื่อเช่นนั้นสั่งสมมาหลายต่อหลายทศวรรษ เกิดเป็นความแข็งแกร่งเชิงเครือข่ายผลประโยชน์และอำนาจรัฐ และการปลูกฝังทางจารีตให้สังคมไทยไม่หวงแหนประชาธิปไตยเท่าที่ควร ยอมรับการปกครองระบอบเผด็จการรัฐประหารที่ไม่น่าเกลียดจนเกินไปได้ บิดเบี้ยวไปจนถึงทำให้ประชาชนบางกลุ่มเรียกร้องให้อำนาจเช่นนั้นออกมาทำรัฐประหารเพื่อขับไล่นักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชน

Advertisement

ทุกอย่างมีเหตุและผลในรายละเอียดที่ไม่อาจกล่าวได้อย่างเพียงพอในพื้นที่นี้ จึงใคร่ขอละไว้

แต่ในวันนี้วิญญูชนก็ได้เห็นประจักษ์แล้วว่าวาทกรรมที่ว่าระบอบใดก็ไม่สำคัญ สามารถทำประโยชน์สุขให้แก่ประชาชนได้ทั้งสิ้นถ้าเพียงมีคนดีคนงามมาปกครองนั้นไม่จริง

เพราะโชคดีในโชคร้ายที่คณะเผด็จการล่าสุดนี้ได้แสดงสภาพที่แท้จริงของระบอบเช่นว่านั้นออกมาด้วยการบริหารประเทศที่ไร้ประสิทธิภาพ ใช้เงินภาษีของประชาชน เวลา และทรัพยากรของชาติไปอย่างเปลืองเปล่า ระบบราชการทุกระดับไม่เห็นหัวประชาชนตั้งแต่การไปติดต่อจดทะเบียนยันกลไกของรัฐระดับสูง กระบวนยุติธรรมที่ล้มเหลวอุกอาจถึงขนาดใช้อำนาจเพื่อปัดเป่าให้คนรวยที่มีอิทธิพลต่ออำนาจรัฐไม่ต้องรับผิดใดเลยแม้แต่ว่าทำให้ตำรวจตายไปทั้งคน โดยอภิสิทธิ์ชนผู้ใช้ชีวิตอันหรูหราอย่างหลงระเริงด้วยยาเสพติดและรถความเร็วสูง ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตรังแกผู้น้อยในกองทัพจนเกิดทหารจริตวิกลลากอาวุธสงครามที่ปราศจากการควบคุมที่รัดกุมเพียงพอออกมาไล่กราดยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์ เห็นแก่ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางลับเพิกเฉยให้จัดแข่งขันชกมวยจนเกิดการแพร่ระบาดระลอกแรกในประเทศ และอีกมากมายสาธยายไม่หมด

พวกเขาทำทุกอย่างเช่นว่านั้นโดยไม่รับผิดชอบใดๆ บางครั้งก็ชี้หน้ากราดว่าเป็นความผิดของประชาชนเอง หรือรับผิดชอบด้วยลมปากกับน้ำตาแต่ไม่จริงใจแก้ไข และที่น่าเจ็บใจคือการโกหกประชาชนราวกับพวกเราเป็นเด็กอมมืออย่างขาดความยำเยงเกรงใจ นาฬิกายืมเพื่อนใช้คงรูปไม่ต้องตรวจสอบ เฮโรอีนคือแป้ง โคเคนเอาไว้ทำฟัน โต๊ะพนันโต๊ะเดียวไม่ใช่บ่อน และถึงเป็นบ่อนก็ไม่มีกล้องวงจรปิด เด็กประถมยังไม่กล้าโกหกพ่อแม่หรือครูอาจารย์ระดับนี้เลย

การปกครองที่ไม่ได้ต้องอาศัยความเห็นชอบของประชาชนคือคำตอบของความไม่รับผิดชอบเหล่านี้ ก็เพราะเขาจะต้องรับผิดชอบหรือเห็นหัวประชาชนทำไมในเมื่อการที่ประชาชนจะชอบจะชังเขาก็หามีผลอะไรต่อการอยู่ยงดำรงอำนาจของเขาแต่เพราะยุคอันมืดหม่นอันเป็นรอยต่อเช่นนี้ ก็ทำให้เราได้เห็นเช่นกันว่า เมื่อเรามี “ผู้แทนราษฎร” เข้าไปอยู่ในกลไกของอำนาจทางการเมืองนั้น มันดีกว่ายุคที่ปกครองโดยอำนาจรัฐประหารเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างไร เพราะเมื่อพวกเขายอมให้มีรัฐสภาซึ่งมีตัวแทนบางส่วนของประชาชน และต่อให้
ระบบเลือกตั้งและกลไกที่เขาออกแบบไว้จะบิดเบือนเพียงใด แต่ตัวแทนของประชาชน ผู้แทนราษฎรของเราก็ยังมี ซึ่งพวกเขาสามารถส่งเสียงคัดง้างการใช้อำนาจนั้นได้ในระดับหนึ่ง

เรามี ส.ส.พรรคก้าวไกลและเพื่อไทยที่ไปติดตามดูแลประชาชนซึ่งถูกละเมิดสิทธิในกระบวนยุติธรรมได้ในยามดึกดื่นถึงเช้า ซึ่งแม้แต่ฝ่ายรัฐบาลแต่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างสิระ เจนจาคะ ของพลังประชารัฐ ก็ยังออกมาใช้อำนาจตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนกังขากันทั่วประเทศในกรณีทายาทมหาเศรษฐีเรดบูล

เพราะไม่ว่าจะชั่วดีอย่างไร เมื่อเป็น “ผู้แทนราษฎร” แล้วเขาก็ยังต้องเห็นหัวประชาชน อย่างน้อยก็กลุ่มที่สนับสนุนเขา

นี่คือสิ่งที่เราได้เห็นกันมาตลอดช่วงเวลาห้าหกปีแห่งการรัฐประหารครั้งล่าสุดนี้

และภายใต้การปกครองเช่นนี้ เราก็ได้เห็นแล้วว่าถ้าเมื่อไรประชาชนออกมาแสดงตัว หรือส่งเสียงกันให้ดังพอ มันจะหยุดยั้งการใช้อำนาจของพวกเขาได้จริงๆ

เหมือนตอนที่ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม จะเสนอคณะรัฐมนตรีขออนุมัติให้กองทัพจัดซื้อเรืออเนกประสงค์ยกพลขึ้นบก วงเงินงบประมาณกว่าหกพันล้านบาท แต่เมื่อประชาชนช่วยกันส่งเสียงดังๆ แรงๆ ว่าไม่อยากได้ กระทรวงกลาโหมก็ถอนเรื่องดังกล่าวออกไป

เหมือนตอนที่อัยการซึ่งตอนแรกเคยมีคำสั่งฟ้อง วรยุทธ์ อยู่วิทยา ไปแล้ว แต่กลับถูกกรรมาธิการใน สนช. ที่แต่งตั้งโดย คสช. “รื้อฟื้น” คดีขึ้นมาด้วยหลักฐานใหม่จนต่อมาแก้เป็นคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง
จนเมื่อเรื่องแดงขึ้นมา เป็นที่มาของการขุดประจานเรื่องพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือต่างๆ เช่นรถ
เฟอร์รารี่วิ่งไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือข้ออ้างเรื่องผลโคเคนในเลือดมาจากการทำฟันหรือปฏิกิริยาทางเคมีที่เหลวไหล จนทำให้ประชาชนทุกฝั่งฝ่ายร่วมกันส่งเสียงเอะอะขึ้นมาอีกครั้ง จนทำให้ต้องทบทวนกลายเป็นคำสั่งให้สอบสวนใหม่ได้ที่สุด

หรือเหมือนตอนที่องค์กรตุลาการคืนความยุติธรรมตามกระบวนการที่ควรจะเป็นโดยตามกฎหมายโดยชั่วคราวให้แก่ ทนายอานนท์ นำภา กลางดึกของคืนวันศุกร์ต่อเนื่องถึงเย็นวันเสาร์หลังจาก
ถูกจับกุมมาโดยน่าเคลือบแคลง ก็เป็นสัญญาณ
หนึ่งว่าเสียงของประชาชนที่รวมกันแล้วดังพอ ก็ทำให้แม้แต่อำนาจที่ยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์หนักหนาก็ยังต้องเกรงใจ

ท่านทั้งหลายพึงทราบไว้เถิดว่า อำนาจนั้นไม่ใช่อะไรเลย นอกจากการที่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีอะไรสักอย่างที่สามารถทำให้มนุษย์คนอื่นยอมทำตาม
คำสั่งหรือความต้องการของตนได้

ถ้าคนที่ยอมทำตามประสงค์หรือคำสั่งเช่นนั้นมีมากเท่าไร อำนาจของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้นก็จะมากขึ้นไปด้วยและอำนาจสูงสุดในรัฐ ก็คือการที่ผู้คนในรัฐประเทศนั้นยินยอมหรือทำตามอำนาจนั้น ซึ่งต่อมาอำนาจก็ได้ส่งทอดมาสู่กฎหมาย กฎเกณฑ์ และการใช้อำนาจรัฐอํานาจนั้นจึงมีที่มาจากสองทาง คือ ความรัก
หรือ ความกลัว

อำนาจที่มาจากความรักคือ “ความยินยอม” เช่นเมื่อเรารักหรือนิยมใครสักคน เราจึงยอมทำตามความต้องการของเขา หรือปฏิบัติตามที่เขาชี้แนะอย่างเต็มใจ หรือมีความเกรงใจเกรงกลัวที่จะไม่ทำอะไรให้เป็นเหตุบาดหมาง เหมือนที่ลูกเชื่อฟังพ่อแม่ คู่รักยินยอมทำตามความประสงค์ต้องการของกันและกัน

หรือแม้แต่ว่าจะไม่ต้องรักก็ได้ เพียงพันธสัญญาที่ชอบธรรมมาจากความสมัครใจก็เพียงพอแล้วที่เราจะเชื่อและปฏิบัติตามคำสั่งความประสงค์ เช่นที่ลูกจ้างปฏิบัติตามคำสั่งหรือกฎเกณฑ์ของนายจ้างแลกกับค่าจ้างเงินเดือน

ส่วนอำนาจที่มาจากความกลัวนั้นเกิดจาก “ความจำยอม” เนื่องจากกลัวว่าจะเกิดอันตรายหรือผลร้ายต่อตัวเราได้หากเราไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งหรือความประสงค์ของฝ่ายตรงข้ามที่ทำให้เรากลัว และการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอาจจะเป็นผลร้ายฝืนใจแต่ก็ยังไม่เลวร้ายไปกว่าผลที่เกิดขึ้นหากไม่ปฏิบัติตาม

ดังนั้น ถ้าคนเริ่มไม่รัก หรือไม่กลัว อำนาจของคนคนนั้น หรือองค์กรระดับรัฐ ก็จะลดลงเรื่อยๆ

แม้ปากจะอ้างว่าตัวมีอำนาจจากอะไรก็ตามแต่ แต่ผู้ปกครองทั้งหลายต่างรู้อยู่เต็มอกเขาก็รู้ว่าถ้าเมื่อไรคนเลิกรักเลิกนิยมชมชอบ หรือแม้แต่เลิกกลัวเลิกเกรงแล้ว อำนาจเขาจะลดลงไปเรื่อยๆ และอาจจะลดลงจนถึงขั้นวิกฤตก็ได้ ถ้าคนที่ไม่รักและไม่กลัวเขามีจำนวนมากขึ้นจนเป็นส่วนใหญ่ระดับประชามติ

ผู้ปกครองด้วยอำนาจความกลัวที่ฉลาด จึงพยายามจะไม่ทำอะไรที่กระทบกระเทือนความรู้สึกของประชาชนมากจนเกินไปนัก เพราะเขารู้ว่าถ้าหยาบหยามกันถึงระดับที่คนรู้สึกว่าไม่ควรอดทนจนเลิกกลัวแล้ว คราวนี้แหละอำนาจของพวกเขาจะสิ้นสูญลง เช่นจุดจบของเผด็จการทั้งหลายในประวัติศาสตร์

การต่อสู้ของประชาชนไม่ว่าจะแสดงตัวลงถนนหรือแม้แต่ส่งเสียงในโซเชียลในช่วงนี้จึงไม่สูญเปล่า และในที่สุดจะก่อให้เกิดมติมหาชนอันเป็นปาฏิหาริย์ได้ ถ้าเรารวมตัวกันเพียงพอ

ดังที่มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณโกรธ คุณต้องออกมา ออกมาบอกว่าเราโกรธ ออกมา
บอกว่าลูกหลานเราต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ออกมาบอกว่าเรามีศักยภาพ ศักยภาพของเราไม่ควรโดนจำกัดเพราะประเทศนี้มันกำลังพังพินาศ ออกมาบอกว่าเรามีศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีของเราคือการเป็นประชาชนในประเทศที่เคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของเรา ถ้าเราไม่ออกมาวันนี้ ถ้ามันไม่จบที่รุ่นเรา ลูกหลานของเราก็จะต้องแบกรับภาระต่อสู้กับระบบที่กัดกินทั้งศักยภาพและศักดิ์ศรีของพวกเขาและเธอ เราไม่ได้สู้เพื่อตัวเราเองเท่านั้น แต่เราสู้เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า เพื่อที่ลูกหลานของเราจะได้มีชีวิตที่ดีเท่าที่ศักยภาพของเขาและเธอจะเอื้ออำนวยให้มันเป็นไปได้ #ให้มันจบที่รุ่นเรา

ลีจินซุง ประธานศาลรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ได้กล่าวไว้ในการปาฐกถาครั้งหนึ่งที่ท่านมาพูดที่ประเทศไทยว่า “ในห้วงยามที่มืดมนที่สุด ย่อมหมายถึงแสงอรุณกำลังจะรุ่งรางใกล้เข้ามา” ในบริบทของการต่อสู้ของนักศึกษาและประชาชนชาวเกาหลีใต้ที่ขับไล่เผด็จการชุนดูฮวัน

ตอนนี้ขอบฟ้าด้านหนึ่งของเรานั้นมืดมนที่สุด แต่ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว และในขอบฟ้า
อีกฝั่ง แสงเรืองเริ่มปรากฏทีละน้อยแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image