ข่าวลือรัฐประหารในประเทศไทยไม่ถือเป็น “ความแปลกใหม่” หากเป็นความปกติ
ไม่รู้ระบอบประชาธิปไตยชนิดไหนกันที่ยินยอมให้ทหารก่อรัฐประหารเฉลี่ย 6 ปีต่อ 1 ครั้ง โดยไม่เคยถูกดำเนินคดีไม่เคยถูกจำคุกและไม่ถูกประหารชีวิต
ที่ผ่านมาเมื่อสร้างสถานการณ์ชวนเชื่อให้ผู้คนรู้สึกว่าสังคมถึงทางตัน “รัฐประหาร” ก็มักกลายเป็น “คำตอบ” จนเป็นธรรมเนียม
แต่วันนี้ “ธรรมเนียม” นี้ถูกท้าทายจากพลังบริสุทธิ์ของนักเรียนนักศึกษาเยาวชนของชาติ ซึ่งสิ้นหวังกับผู้ใหญ่และผู้เป็นใหญ่
เมื่อมีกระแสข่าว “รัฐประหาร” ดักหน้าการนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 19 กันยายน ผู้สื่อข่าวจึงต้องไถ่ถามค้นหาความจริงจากนายกรัฐมนตรี
กลับได้รับคำตอบคล้ายผรุสวาท
“เฮ้ย ! ไป๊ ! กลับบ้านเลย” !
เห็นใบหน้าของ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แล้วผู้คนยากที่จะลืมเลือนสถานะ “หัวหน้า คสช.” ผู้นำกองทัพ
ก่อรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค.2557
แค่ถามถึงกระแสข่าวรัฐประหาร ทำไม “ประยุทธ์” ต้องฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด !
“กองทัพบก” ยกพลออกมาชี้แจงภาพการเคลื่อนกำลังทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์คึกคักบนท้องถนนนั้น เป็นการทยอยกลับที่ตั้งของหน่วยเคลื่อนที่เร็วจากเชียงใหม่ พิษณุโลก กาญจนบุรี อุดรธานี ร้อยเอ็ด
ภายหลังฝึกเสร็จสิ้นที่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
เป็นเรื่องการฝึกล้วนๆ !
ความระแวง สงสัย หรือไม่เชื่อถือ จะต้องมี “ที่มา”
รัฐประหาร 13 ครั้งในประวัติศาสตร์มี “กองทัพบก” เป็นผู้นำเกือบทั้งหมด
เว้นแต่ที่ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่รับหน้าเสื่อทำรัฐประหาร 6 ต.ค.2519 เพื่อส่งไม้ต่อให้ “ธานินทร์ กรัยวิเชียร” อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา อดีตองคมนตรีและผู้ปฏิบัติหน้าที่ประธานองคมนตรี
ยังไม่เคยมีปรากฏว่า “กองทัพอากาศ” เป็นผู้นำรัฐประหารทั้งที่มีศักยภาพน่าเกรงขามที่สุด
ความระแวงสงสัยหรือการสัมผัสสัญญาณเตือนภัยจาก “รัฐประหาร” จึงเป็น “ประสบการณ์” ไม่ใช่เรื่องเลอะเทอะเหลวไหล
อย่าลืมว่า วันที่ 19 กันยายนนี้ การชุมนุมใหญ่ของเด็กนักเรียนนักศึกษาเยาวชนนั้นมีเพียง “มือเปล่า” กับ “ความหวัง” ที่ต้องการ “ความเปลี่ยนแปลง” ในทางที่ดีขึ้น
ไม่มีใครคิดจะสู้รบกับทหารตำรวจของประชาชน
เมื่อชุมนุมโดยสงบและใฝ่สันติทำไมรัฐบาลถึงต้องสั่งให้กองทัพเตรียมกำลังอาวุธครบ
จะไปรบกับใคร !?
ทำไมตำรวจต้องเตรียมหน่วยควบคุมฝูงชนและอุปกรณ์ปราบจลาจล
ใครจะเป็นคน “จุดไฟ”
แล้วใครจะ “ดับไฟ”
แต่ทันทีที่ลงมือ “ปราบเด็ก” ผู้คนทั่วประเทศก็จะ “ไม่ทน”
การทำรัฐประหารไม่ง่ายเหมือนเดิม !?!!