หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ป่วยหนักเข้าขั้นโคม่าหรือตาย

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และภรรยานางเมลาเนีย ทรัมป์ ตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 หลังจากผู้ช่วยคนสนิทมีผลตรวจเป็นบวก เมื่อวันพฤหัสบดี 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ต่อมาในวันเสาร์ที่ 3 ตุลาคมนี้ นายแพทย์ฌอน คอนลีย์ แพทย์ประจำตัวประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีอาการเหนื่อยอ่อนและหายใจลำบากจึงส่งตัวขึ้นเครื่องบินปีกหมุนไปรักษาตัวที่ศูนย์การแพทย์ทหาร วอลเทอร์ รีด ในมลรัฐแมริแลนด์แล้ว

ขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ อายุ 74 ปี สูง 190 เซนติเมตร น้ำหนัก 111 กิโลกรัม ถือว่าน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานซึ่งสำนักงานสาธารณสุขอังกฤษ (Public Health England) ได้สรุปว่าการมีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์เพิ่มโอกาสที่คนไข้จะต้องเข้าแผนกผู้ป่วยหนักและความเป็นไปได้ที่จะเสียชีวิตโดยไขมันในร่างกายจะส่งผลต่อเม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกันให้เพิ่มภาวะอักเสบของร่างกาย และภาวะอักเสบเกินไปนี้เองที่ทำให้การติดเชื้อเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

จากงานวิจัยกว่า 100 ชิ้นทั่วโลกเกี่ยวกับโควิด-19 นี้ประเมินกันว่า 1 ใน 25 ของคนที่อายุ 75 ปี ที่ติดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เสียชีวิต ส่วนคนที่อายุเกิน 85 ปี เสียชีวิตคิดเป็น 1 ใน 7 คน ขณะที่คนที่อายุเลย 90 ปี เสียชีวิตคิดเป็น 1 ใน 4 คน

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐอเมริกาก็พบแนวโน้มทำนองนี้เช่นกันโดยแจ้งว่า 8 ใน 10 ของการเสียชีวิตจากโควิด-19 เป็นคนที่อายุมากกว่า 65 ปี และคนที่อยู่ในกลุ่มอายุเดียวกับประธานาธิบดีทรัมป์มีแนวโน้มต้องถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลมากกว่าคนทั่วไป 5 เท่า และเสี่ยงเสียชีวิตกว่าคนในวัย 20 กว่าปีถึง 90 เท่า

Advertisement

อย่างไรก็ตาม ผู้นำระดับมหาอำนาจของโลก 3 คน ที่ติดโควิด-19 คือ นายบอริส จอห์นสัน อายุ 56 ปี นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ อาการหนักมากถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเซนต์โธมัส ในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 6 เมษายน ปีนี้ต้องอยู่ห้องผู้ป่วยหนักและต้องอยู่ในไอซียูเป็นเวลาถึง 3 วัน ปัจจุบันหายดีแล้ว ส่วนผู้นำอีกคนหนึ่งคือประธานาธิบดีแห่งประเทศบราซิล นายฌาอีร์ เมซีอัส โบลโซนารู อายุ 65 ปี ติดโควิด-19 เมื่อเดือนกรกฎาคมปีนี้ จนกระทั่งลุกลามไปเป็นโรคเชื้อราในปอดแต่ก็หายดีแล้ว สำหรับประธานาธิบดีทรัมป์หากป่วยหนักขั้นโคม่าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีได้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะมีกฎหมายรัฐธรรมนูญบ่งบอกไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว คือบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกามาตรา 25 ที่ให้รองประธานาธิบดีปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีต่อไปได้เลย

แต่ปัญหาใหญ่และไม่เคยมีมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์คือหากประธานาธิบดีทรัมป์เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มีประธานาธิบดีเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองหลักของประเทศที่มีอยู่เพียง 2 พรรค ซึ่งหากตายลงไปแล้วทางพรรครีพับลิกันก็จะไม่สามารถที่จะตั้งตัวแทนคนใหม่ขึ้นมาชิงชัยได้ทันเวลาเพราะเหลือเวลาอยู่เพียง 4 สัปดาห์เท่านั้นที่จะมีการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว

ครับ ! ในประวัติศาสตร์ 244 ปี ของสหรัฐอเมริกายังไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาก่อนเลย แต่ชาวอเมริกันได้คาดการณ์ล่วงหน้ามาแล้วถึง 87 ปีก่อนหน้านี้ว่าอาจจะมีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้น จึงได้ผ่านบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตราที่ 20 ไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2476 ที่กำหนดว่าหากมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีเริ่มต้นขึ้นแล้ว (ปัจจุบันมีการเลือกตั้งล่วงหน้าและการเลือกตั้งทางไปรษณีย์เกิดขึ้นแล้วในหลายมลรัฐ) หากผู้สมัครรับเลือกตั้งคนที่ชนะการเลือกตั้งต้องเสียชีวิตลงก่อนการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีก็ให้ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดีซึ่งอยู่ทีมเดียวกับว่าที่ประธานาธิบดีที่เสียชีวิตไปแล้วเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาแทน

Advertisement

ครับ! รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกานี่ดีนะครับที่มีการคิดวิธีการแก้ปัญหาต่างๆ ไว้อย่างครบครัน ไม่เหมือนรัฐธรรมนูญของไทยเราโดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นมาเพื่อมุ่งสร้างปัญหานานาประการโดยไม่รับผิดชอบเอาเสียเลย

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image