กระสุนดอกไม้ โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

โดยพื้นฐานหากการลงประชามติเป็นไปโดยปกติ ไม่มีการทุจริต อย่างโจ๋งครึ่ม

เราคงต้องเคารพมติของประชาชน เป็นปฐม

เพราะเสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์ แม้จะไม่ตรงใจเรา แต่ต้องยอมรับ

อย่างฝ่ายที่ไม่ต้องการให้รัฐธรรมนูญ และคำถามพ่วง “ผ่าน”

Advertisement

แล้วเกิด “ผ่าน” ขึ้นมา จะทำอย่างไร

ก็ต้องทำใจ ทำใจยาก ก็ลองเอาตัวเราไปเปรียบกับประเทศอื่น

อย่างพม่า ที่นั่นประชามติของเขาถูกกำหนดสเปกล่วงหน้าเอาไว้แล้วต้องผ่าน

Advertisement

ฝืนอย่างไร ก็ไม่อาจสู้ได้ นอกจากทำใจ

ผลก็เป็นอย่างที่ทราบ รัฐธรรมนูญผ่านประชามติสูงถึง 92.48%

ประชาชนพม่าต้องกล้ำกลืนฝืนทน

ทั้งผลประชามติดังกล่าว และต้องทนกับเนื้อหารัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างสุดขั้ว อนาคตการเมืองในระบอบประชาธิปไตยริบหรี่เต็มที

กระนั้นประชาชนพม่าก็อดทน ด้วยรู้ว่า เมื่อหนังยังไม่จบ ก็อย่าเพิ่งลุกออกจากเก้าอี้

แล้วที่สุดพวกเขาก็ใช้การเลือกตั้งทั่วไปเป็นเครื่องมือสุดท้าย ระดมเสียงสู้พรรคทหาร

และมอบชัยชนะให้ นางออง ซาน ซูจี อย่างถล่มทลาย

ที่คิดว่าสู้ไม่ได้ เอาเข้าจริงก็สามารถฝ่าฟันมาได้

โมเดลของพม่า จึงน่าจะเป็นบทเรียน ที่ไทยสามารถหยิบมาใช้บ้างก็ได้

นั่นคือถึงจะพ่ายในขั้นประชามติ แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาสู้ต่อไป เพราะอย่างน้อยการเลือกตั้งทั่วไปก็ยังอยู่

อย่าทำให้การพ่ายแพ้นำไปสู่ความสูญเปล่า และกลับไปสู่ความรุนแรง เกิดสมรภูมิกระสุนจริงอีกครั้ง

เช่นกัน สำหรับฝ่ายที่ต้องการให้รัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง “ผ่าน”

เกิดไม่ผ่านขึ้นมาจะทำอย่างไร

ฟากฝ่ายนี้อาจจะต้องทำใจและควบคุมตัวเองให้ดีกว่าฝ่ายแรกมาก

เพราะปฏิเสธไม่ได้ ว่ายังเป็นรัฏฐาธิปัตย์จากการรัฐประหารอยู่

และยังเป็นผู้กำหนดเกม โดยเฉพาะการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ตามที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ออกกฎบังคับไว้

ดังนั้น จึงน่าสนใจว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล จะวางบทบาทตัวเองอย่างไร

ยังจะถือว่า วันนี้ยังเป็นดั่งวันรัฐประหารที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ถืออำนาจไว้เต็มจะทำอะไรก็ทำได้ หรือไม่

ตรงนี้จะสำคัญ เพราะมันอาจจะนำไปสู่การวางกรอบ “รัฐธรรมนูญใหม่”

กล่าวคือ หากทหารยังถือว่าตนเองคือรัฏฐาธิปัตย์ มีอำนาจเต็มมือ ก็จะนำไปสู่ร่างรัฐธรรมนูญ ตามที่ตนเองต้องการ

โดยเฉพาะการสืบอำนาจต่อไป แบบ 100% มิได้สนใจผลแห่งประชามติเท่าที่จะเป็น

ทั้งที่ประชาชน ลั่นปืนบรรจุกระสุนดอกไม้ออกมาแล้ว

คสช.และรัฐบาลควรตระหนักและสำนึกรู้ ว่า 2 ปีที่ผ่านมาที่รัฐบาลนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญออกมาถึง 2 ฉบับ แล้วทำไมจึงไม่ได้รับฉันทามติ

หรือทั้ง 2 ฉบับ ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างที่ประชาชนต้องการ

นี่คือสิ่งที่ คสช. และรัฐบาล จะต้องฟังและหาคำตอบ ไม่อาจเมินเฉยได้

ซึ่งหาก คสช.และรัฐบาล ฟัง ได้ยิน แล้วนำไปสู่การเปิดกว้าง รับฟัง “ประชามติ” ของประชาชน ว่าต้องการอะไร จากนั้นมาวางกรอบรัฐธรรมนูญร่วมกัน

จะโดยวิธีไหน หรือช่องทางใด ยังมีเวลาที่จะหันหน้ามาหารือกัน

นั่นน่าจะทำให้ประชามติครั้งนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร “สมรภูมิประชามติ” ก็จะเกลื่อนกล่นด้วยกระสุนดอกไม้จากชาวบ้านที่ยิงออกมา

ตรงกันข้าม หากเพิกเฉย หรือมองไม่เห็น “อะไร” ในผลประชามติ

ก็น่าหวาดหวั่น “อำนาจ” เบ็ดเสร็จ อาจจะบดกับอำนาจของประชาชน

จนทำให้สมรภูมิประชามติ กลายเป็นสมรภูมิกระสุนจริง ที่จบลงด้วยความเศร้า

จึงหวังว่า “กระสุนดอกไม้” จากประชาชนครั้งนี้จะมีความหมาย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image