ภาพเก่าเล่าตำนาน : สักขีมรณะ…ของพระญวน

11 มิถุนายน พ.ศ.2506 พระสงฆ์ ทิก กว๋าง ดึ๊ก (Thich Quang Duc) ขอสละชีพ แบบโลกต้องจำ…
เช้าวันนั้น…ท่านไปนั่งลงอย่างสุขุม ให้ลูกศิษย์ราดน้ำมันบนร่าง นั่งขัดสมาธิ กายตั้งตรงนิ่งปานภูผา แล้ว “วางไม้ขีดไฟบนศีรษะ” เหตุเกิดกลางสี่แยกแห่งหนึ่ง ในกรุงไซ่ง่อนประเทศเวียดนามใต้…

ราว 10 นาทีของการเผาไหม้ ไฟบรรลัยกัลป์ลุกโชติช่วง สร้างความพิศวงต่อพี่น้องประชาชน ไฟนรกห่อหุ้มร่างท่านแบบแนบสนิท ความร้อนแผ่ซ่านออกไปทั่วทิศ ผู้คนผงะหลบระอุเปลวร้อน… พระสงฆ์องค์นี้ กลับมีสมาธิ นั่งนิ่งในกองเพลิง ไม่ขยับ ไม่ระคาย…เป็นอัศจรรย์แห่งญาณวิถี…

ภาพที่น่าสยดสยองนี้ ทำให้คนทั้งโลกหันมามองประเทศเวียดนามใต้ เหตุการณ์นี้ทำให้เวียดนามใต้เปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันกลับ…

เหตุสะท้านโลก… เกิดขึ้นในสมัยการปกครองของรัฐบาล นายโง ดินห์ เดียม ( ; บางสำนัก ออกออกเสียง
ว่า โง ดิ่ญ เสี่ยม) ที่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ในขณะที่ประชาชนในเวียดนามใต้ราวร้อยละ 70-90 นับถือพุทธ

Advertisement

ช่างภาพหัวเห็ด ชื่อ มัลคอม บราว์น (Malcolm Browne) ที่ไปอยู่ในเหตุการณ์จับภาพไว้ได้ ตากล้องที่ตกตะลึงสุดชีวิต บรรจุ บรรยายทุกอิริยาบถของพระสงฆ์ใจเพชรบนฟิล์มภาพยนตร์ขาว-ดำ จากกรุงไซ่ง่อนขึ้นเครื่องบินไปอเมริกา…

วันต่อมา …หน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ทั่วโลก แสดงภาพสุดสยองนี้เกือบจะพร้อมกัน…

ภาพยนตร์และภาพนิ่งแห่งความสยดสยอง ได้รับรางวัล World Press Photo of the Year ในปี พ.ศ.2506

Advertisement

ภาพยนตร์การเผาตัวเองขณะนั่งสมาธิ เป็นเหตุการณ์ครั้งแรกของโลก ได้รับความสนใจจากกลุ่มแพทย์เพื่อการศึกษา เพราะไม่เคยเห็น

แพทย์นำปฏิกิริยาของพระสงฆ์ไปวิเคราะห์ เพื่อตรวจหาข้อมูลเรื่องของ “สุดยอดสมาธิ” ของมนุษย์ การทำงานของสมอง เกิดอะไรขึ้นเมื่อร่างกายถูกเผาไหม้ จนตาย…

นักประสาทวิทยา นักวิทยาศาสตร์และแพทย์สามารถมองเห็นสรีรวิทยาโครงสร้างและการทำงานของสมอง เกิดข้อบ่งชี้ว่าเทคนิคการทำสมาธิสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเปลือกนอกได้ด้วยการฝึกฝน

เกิดมุมมอง แง่คิด เรื่อง “อภินิหาร-เวทมนตร์” ของพระรูปนี้

ในยุคต่อมาเมื่อมีเครื่องมือ MRI ของแพทย์ ได้เผยรายละเอียดให้เห็นว่า เยื่อหุ้มสมองส่วนหน้ามีการเปลี่ยนแปลงในการทำงาน เนื่องจากการทำสมาธิและการฝึกสติขั้นสูงสุด…

ขอหมุนเข็มนาฬิกา ย้อนเวลากลับไปเล่าเรื่องสลดครับ…

พ.ศ.2497 โฮจิมินห์ หัวหน้า “พรรคลาวดอง” พรรคใหญ่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในเวียดนาม ไม่พอใจที่มหาอำนาจของโลก 2 ค่าย มาแบ่งประเทศเวียดนามออกเป็นเหนือ-ใต้ ตรงเส้นขนานที่ 17

โง ดินห์ ถุก พี่ชายของ โง ดินห์ เดียม เป็นนักบวชคริสต์ที่มีอิทธิพลสูง มีเครือข่ายการทำงานในต่างประเทศโดยเฉพาะนครวาติกัน เคยนำน้องชายที่ชื่อ เดียม ไปเฝ้าพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ณ นครวาติกัน

พี่ชายคนเก่ง ไปวิ่งเต้นกับนักบวชเส้นใหญ่ในวอชิงตันเพื่อให้สหรัฐสนับสนุน เดียม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของเวียดนามใต้ เพราะเชื่อว่าเงินทองจะไหลมาไม่หยุด และเดียมเกลียดคอมมิวนิสต์

วอชิงตันทำหน้าพี่เลี้ยง สนับสนุนให้เงินอุดหนุนรัฐบาลของนายโง ดินห์ เดียม ของเวียดนามใต้

ในขณะที่จีนและโซเวียตเข้ามาสนับสนุนรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของโฮจิมินห์ ผู้นำของเวียดนามเหนือแบบสุดลิ่มทิ่มประตูเช่นกัน

พ.ศ.2498 โง ดินห์ เดียม ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเวียดนามใต้ ภายใต้การอุปถัมภ์ค้ำชูจากวอชิงตัน เพื่อจะสู้กับระบอบคอมมิวนิสต์ เดียมและครอบครัว ญาติพี่น้อง บริวาร สุขสำราญบานฉ่ำกับอำนาจวาสนา เงินทอง โกงกินสารพัด เป็นการบริหารประเทศแบบครอบครัว

เดียมเป็นคริสเตียน เกลียดคอมมิวนิสต์แบบ 7 ชั่วโคตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี เขาและญาติพี่น้องใช้อำนาจปราบปราม ยัดข้อหาคอมมิวนิสต์ ทำทุกอย่างจะให้ประชากรในเวียดนามใต้หันมานับถือคริสต์

อำนาจเป็นเรื่องหอมหวาน… นายกรัฐมนตรีเดียมจัดให้มีการลงประชามติในเวียดนามใต้แบบอึมครึม โดยได้รับการสนับสนุนจากสันตะปาปาองค์ที่ 23 ผลการลงประชามติทำให้สมเด็จพระจักรพรรดิ บ๋าว ดั่ย ของเวียดนาม ที่ชุบเลี้ยงเขามา ถูกปลดออกจากประมุขรัฐ

เดียม สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนามใต้

บุคคลสำคัญทางคริสต์ศาสนาเข้ามาใช้อำนาจแบบยุ่งเหยิง

พระสันตะปาปาองค์ที่ 23 จากวาติกัน สถาปนาเมืองเว้ ฮานอย และไซ่ง่อน เป็นอัครสังฆมณฑลของคริสต์ ประชาชน เจ้าหน้าที่ของรัฐในเวียดนามใต้ เปลี่ยนไปนับถือคริสต์กันไม่น้อยเพื่อความเจริญก้าวหน้า…

โง ดินห์ เดียม ผู้มีอำนาจสูงสุดใช้อำนาจเต็มพิกัด กำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตนด้วยข้อหา “เป็นคอมมิวนิสต์” หาทางลดบทบาทของพุทธศาสนิกชน ระงับกิจการของพุทธศาสนาในทุกโอกาส โดยเฉพาะวันสำคัญทางศาสนาพุทธ

น้องชายของเดียม ชื่อ นูห์ เป็นคาทอลิกเช่นกัน มีอิทธิพลทางความคิดต่อพี่ชาย เป็น รมต.มหาดไทย หัวรุนแรง กีดกันผู้ที่ไม่ใช่คาทอลิก ชาวพุทธเวียดนามที่ถูกรังแกมาตลอด ไม่มีทางเลือก เลยหันไปเป็นสมาชิกกลุ่มคอมมิวนิสต์

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ…รัฐบาลกำหนดข้อห้ามสารพัดสกัดชาวพุทธมีการประท้วงอย่างต่อเนื่อง โง ดินห์ เดียม เลือกข้าง เลือกปฏิบัติ ไม่ยอมรับชาวพุทธ ใช้อำนาจมืดกวาดล้างชาวพุทธที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนามานับถือคริสต์ โดยอ้างว่าพวกเขาเป็นคอมมิวนิสต์

เดียมสนับสนุนชาวคาทอลิกแบบไม่สนใจเสียงด่า ส่งเสริมทหารที่เป็นคาทอลิก จัดสรรที่ดิน เอื้อเฟื้อธุรกิจและลดหย่อนภาษีให้ชาวคริสต์แบบไม่แยแสใคร

ความสกปรกของรัฐบาลเวียดนามใต้เริ่มรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เช่น การสั่งห้ามชาวพุทธออกจากบ้านในเวลา 21.00-05.00 น. ยกเว้นผู้ที่เป็นคริสเตียน

ตำรวจได้รับคำสั่งให้ยิงทุกคนได้โดยเสรีหากใครฝ่าฝืนคำสั่ง มีการปลดพระสังฆราช เผาวัด ทำลายศาสนสถาน โดยอ้างว่าเป็นฝีมือของพวกคอมมิวนิสต์

ในทุกโอกาส…ชาวพุทธ…ห้ามประกอบพิธีการทางศาสนา มีเหตุการณ์เข่นฆ่าชาวพุทธอย่างรุนแรง ลอบวางยาพระภิกษุสงฆ์ชั้นสูง ลงมือโดยตำรวจคริสเตียน

ทหารเวียดนามใต้ก็ไม่ประสงค์จะรบกับใคร … ใช้ชีวิตแบบหรูหราฟุ่มเฟือย ทำธุรกิจในเมืองหลวง หวังพึ่งอเมริกาเป็นหลัก…

กองทัพเวียดนามเหนือของโฮจิมินห์ที่นิยมคอมมิวนิสต์ แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน…ประสงค์จะทำสงครามรวมชาติ…

คริสตจักรคาทอลิกเป็นเจ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและได้รับการยกเว้นพิเศษในการได้มาซึ่งทรัพย์สิน เดียม เลือกที่จะใช้ธงของรัฐวาติกันในสถานที่สาธารณะที่สำคัญทุกแห่งในเวียดนามใต้

พ.ศ.2502 ประธานาธิบดีเดียม ประกาศขออุทิศประเทศเวียดนามให้กับพระแม่มารี

ไฟแห่งความขัดแย้งก่อตัว แพร่กระจายไปในหมู่ชาวพุทธ…

ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2506 ชาวพุทธในเมืองเว้ (Hue) ติดธงตามบ้านเรือน ในเทศกาลวันวิสาขบูชา

รัฐบาลสั่งจับกุมบ้านที่ติดธง …ชาวพุทธออกมาประท้วงคำสั่งห้ามแล้วรวมตัวกันเดินขบวนไปยังสถานีวิทยุกระจายเสียงของรัฐบาล

กองกำลังของรัฐบาลกราดยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงเสียชีวิต 9 คน ประธานาธิบดีเดียมปฏิเสธความรับผิดชอบ …กล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของไอ้พวกเวียดกง (เวียดนามเหนือ)

ชาวพุทธเรียกร้องให้มีความเท่าเทียมกันทางศาสนา ผู้นำรัฐบาลยังคงปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของชาวพุทธ

วันที่โลกต้องจดจำก็มาถึง…

พระภิกษุ ทิก กว๋าง ดึ๊ก ที่เคร่งครัดในหลักธรรม ไม่ขอนิ่งเฉย ตั้งใจมอบชีวิตแก่พระพุทธศาสนาเพื่อจะหยุดเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น

ท่านเขียนจดหมายถึง โง ดินห์ เดียม ประกาศขอเสียสละตนเองเพื่อเป็นการป้องกันพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาดั้งเดิมของประเทศชาติ

ในจดหมาย….ท่านขอร้องให้มอบอิสรภาพให้แก่ผู้นำชาวพุทธ เลิกจับพระภิกษุ แม่ชี พุทธศาสนิกชน เพื่อนำไปฆ่า และให้เลิกองค์การคณะสงฆ์เถื่อนรวมทั้งบุคคลที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาหลอกลวงประชาชน

10 มิถุนายน พ.ศ.2506 ผู้สื่อข่าวต่างประเทศในเวียดนามใต้ ได้รับแจ้งว่า “มีบางสิ่งที่สำคัญ” จะเกิดขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้….ตรงถนนด้านนอกสถานทูตกัมพูชาในไซ่ง่อน

ผู้สื่อข่าวส่วนใหญ่…ไม่สนใจข้อความดังกล่าวเนื่องจากวิกฤตการณ์ทางพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว…

เช้า 11 มิถุนายน 2506 มีนักข่าวเพียงไม่กี่คนที่มารอทำข่าว รวมถึง David Halberstam จาก The New York Times และ Malcolm Browne หัวหน้าสำนักไซ่ง่อนของ Associated Press

ชาวเมือง รถบนถนนบริเวณสี่แยก พลุกพล่านในไซ่ง่อน

เฮ้ย.. นี่อะไรกันวะ มีพระกลุ่มใหญ่ และประชาชนเดินมาที่สี่แยก

รถเก๋งออสติน (รุ่นเวสต์มินสเตอร์) วิ่งนำขบวนช้าๆ มีพระ ประชาชนราว 350 คนตามกันมา ถือป้ายที่พิมพ์ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาเวียดนาม …ตำหนิผู้นำประเทศที่รังแกชาวพุทธ

ไม่มีเทวดาที่ไหนทราบล่วงหน้าว่า…จะเกิดอะไรขึ้น …

พระสงฆ์ ทิก กว๋าง ดึ๊ก โผล่ออกมาจากรถออสติน พร้อมกับพระอีก 2 รูป ท่าทางสำรวม

พระรูปแรกนำเบาะไปวางบนถนน ในขณะพระรูปที่สองไปเปิดกระโปรงท้ายรถและหยิบกระป๋องน้ำมันออกมา

ทิก กว๋าง ดึ๊ก เดินไปนั่งบนเบาะอย่างสงบในท่านั่งสมาธิแบบดอกบัว… พระที่ถือแกลลอนน้ำมันราดน้ำมันลงบนศีรษะ

พระที่มาในขบวนก่อตัวเป็นวงกลมรอบตัวพระทิก กว๋าง ดึ๊ก

พระใจเพชร… หยิบสายลูกประคำ แล้วหมุนสายประคำที่ทำด้วยไม้เปล่งเสียงอธิษฐานว่า Nam m A di Pht
(สักการะพระอมิตาภะ)

พระอีกรูปหนึ่งจุดไม้ขีด แล้ววางลงบนศีรษะ …ไฟลุกท่วม

เปลวไฟเผาผลาญเสื้อคลุม ควันสีดำทะลักออกมาจากร่าง

เดวิด ฮัลเบอร์สแตม (David Halberstam) บรรยายไว้ว่า :

“…ฉันต้องได้เห็นภาพนั้นอีกครั้ง แต่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว เปลวไฟมาจากมนุษย์ ร่างกายของเขาเหี่ยวเฉาอย่างช้าๆ ศีรษะของเขาดำคล้ำและไหม้เกรียม ในอากาศมีกลิ่นของการเผาไหม้เนื้อมนุษย์…”

เขาบรรยายต่อว่า…

“… ไฟไหม้อย่างรวดเร็วอย่างน่าประหลาด ข้างหลังฉันได้ยินเสียงสะอื้นของชาวเวียดนามที่ตอนนี้รวมตัวกัน ฉันตกใจเกินกว่าจะร้องไห้ สับสนเกินกว่าจะจดบันทึกหรือถามคำถามด้วยความงุนงงที่จะคิด … ในขณะที่ไฟลุกโชน เขาไม่เคยขยับตัว กล้ามเนื้อไม่เคยเปล่งเสียง ความสงบภายนอกของเขาตรงกันข้ามกับผู้คนที่โหยหวนรอบตัวเขา…”

ชาวเมืองที่เดินผ่านมา เงียบเหมือนโดนมนต์สะกด ตกตะลึง แต่บางคนก็คร่ำครวญและหลายคนเริ่มสวดภาวนา พระและแม่ชีหลายคนรวมทั้งผู้คนที่เดินผ่านไปมาที่ตกใจ ต่างพากันก้มกราบพระที่ถูกไฟไหม้ แม้แต่ตำรวจบางคนที่มีคำสั่งให้ควบคุมฝูงชนที่มาชุมนุมก็ยังกราบต่อหน้าเขา

พระภิกษุรูปหนึ่งพูดซ้ำในภาษาอังกฤษและภาษาเวียดนามผ่านโทรโข่งว่า… “นักบวชในศาสนาพุทธเผา
ตัวเองตาย ปุโรหิตกลายเป็นผู้พลีชีพ” ไฟนรกทำหน้าที่ของมันราว 10 นาที ร่างกายของพระสงฆ์ใจเพชร ก็เหยียดไปจนสุด… แล้วล้มลงไปด้านหลัง

เมื่อเปลวไฟแผ่วลง พระสงฆ์ที่มาในคณะ รีบใช้จีวรสีเหลืองห่อร่างที่ไหม้เกรียม ยกขึ้นมาและพยายามที่จะ
บรรจุลงในโลงศพ

ร่างกาย เนื้อหนัง กระดูก ที่เหยียดออกด้วยความร้อน ทำให้แขนขาแข็งเกร็ง ไม่สามารถพับงอได้ แขนข้างหนึ่งยื่นออกมาจากโลงไม้ ร่างของท่านถูกนำไปยังวัดที่อยู่บริเวณใกล้ๆ กลางกรุงไซ่ง่อน

นี่คือ จุดเริ่มต้นของจุดจบ…

ต่อมาราวบ่ายโมง…พระสงฆ์ราว 1,000 รูปพร้อมด้วยฆราวาสพากันไปที่เก็บศพพระทิก กว๋าง ดึ๊ก

ช่วงเย็น แม่ชีราว 30 คน และพระอีก 6 รูปถูกจับเนื่องจากไปจัดประชุมสวดมนต์ที่ถนนนอกวัดที่เก็บศพ ตำรวจล้อมวัด ห้ามชุมนุม

รักษาการทูตสหรัฐที่ติดตามสถานการณ์มาตลอด แจ้งให้ผู้นำเวียดนามใต้แก้ปัญหาวิกฤตในชาติ กดดันเดียมให้เปิดการพูดคุย เดียมนัดให้มีการประชุม ครม.ฉุกเฉินในช่วงบ่ายวันเกิดเหตุ

และแล้ว… เดียมก็เปลี่ยนใจ… ไม่ขอจัดประชุม

ราว 19.00 น. เดียมกล่าวปราศรัยทางวิทยุ โดยยืนยันว่าเขารู้สึกหนักใจ …เรียกร้อง “ สร้างความสงบและความรักชาติ”

เขากล่าวหาว่าพวกหัวรุนแรงบิดเบือนข้อเท็จจริงและเขายืนยันว่าชาวพุทธสามารถ “ยึดถือรัฐธรรมนูญหรืออีกนัยหนึ่งคือตัวฉัน”

วิลเลียม ทรูฮาร์ท รักษาการทูตสหรัฐประจำเวียดนามใต้ ออกปากเตือน นายเหงียนห์ ทุย รัฐมนตรีต่างประเทศ โดยกล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าว “ใกล้ถึงจุดแตกหักอย่างอันตราย”

นายดีน รัสค์ (David Dean Rusk) รมว.กต. ของสหรัฐ เตือนว่าทำเนียบขาวจะไม่ “เชื่อมโยงตัวเอง” กับระบอบการปกครองอีกต่อไป

15 มิถุนายน ถูกกำหนดให้เป็นวันฝังศพของพระ หากแต่ถูกขัดขวางโดยตำรวจลับของมาดาม

19 มิถุนายน 2506 ศพถูกย้ายออกจากวัดไปยังสุสานแห่งใหม่ ห่างออกไปชานเมืองเพื่อทำพิธีเผาศพ กองกำลังพิเศษของ มาดาม นูห์ บุกทำลายเจดีย์พุทธหลายแห่งในเวียดนาม

ขอแนะนำตัวละครสำคัญ….

มาดาม นูห์ น้องสะใภ้ของเดียม ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของเวียดนามใต้ เธอมีอำนาจเต็มในบ้านเมือง ผู้คนสยบยอม…หลังเหตุการณ์สยอง เธอกล่าวว่า “I would clap hands at seeing another monk barbecue show.” แปลว่า “ฉันจะปรบมือให้เมื่อได้ดูโชว์บาร์บีคิวพระ”

คำพูดของเธอประโยคนี้ เป็นจุดเปลี่ยน…

ประธานาธิบดีเคนเนดีของสหรัฐกล่าวว่า “ไม่มีภาพข่าวใดในประวัติศาสตร์ที่สร้างความรู้สึกสะเทือนใจไปทั่วโลกเท่าภาพนั้น”

สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิกในไซ่ง่อน กลับเร่งใช้อำนาจผ่านตำรวจในสังกัด กำจัดและทำร้ายพระภิกษุรุนแรงขึ้นไปอีก

วาระสุดท้ายของตระกูลโง ดินห์ มาถึง….

1 พฤศจิกายน 2506 เพียง 1 เดือนหลังเหตุการณ์ เหตุพระเผาตัวเอง วอชิงตันกดปุ่มสัญญาณไฟเขียวให้นายพล เดือง วัน มินห์ ( ) ก่อรัฐประหาร ทหารนำกำลังไปล้อมจับประธานาธิบดีเดียมและน้องชายใส่รถสายพานลำเลียงพลหุ้มเกราะ (APC) ออกไปจากทำเนียบ

เดียมและน้องชาย ถูกยิงเสียชีวิตในรถเกราะ ที่มาปิดล้อม (มีข้อมูลแตกต่างกัน เรื่องการตายว่า มีการเจรจาในทางลับ ศพถูกแทงพรุน รวมถึงการหักหลังกัน ชิงอำนาจกันเอง ไม่ทราบว่าใครยิง ใครแทง)

คณะรัฐประหารแต่งตั้งให้ เดือง วัน มินห์ เป็นผู้นำ ส่วนมาดาม โง ดินห์ นูห์ กับ โง ดินห์ ถุก ไปประชุมที่นครวาติกันจึงรอดตายไปได้

สมาชิกตระกูล โง ดินห์ และบริวารหนีออกนอกประเทศ

(ข้อมูลที่น่าสนใจครับ…หลังจากนั้น 3 สัปดาห์ ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี ก็ถูกลอบสังหารกลางเมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส)

พ.ศ.2516 วอชิงตันทยอยถอนทหารอเมริกันออกจากเวียดนามใต้

30 เมษายน 2518 เมืองไซ่ง่อนแตก… โฮจิมินห์ชนะสงคราม รวมเวียดนามเป็น 1 ปกครองในระบอบสังคมนิยม

มาดาม นูห์ เสียชีวิตอย่างสงบในวัย 87 ปี ที่โรงพยาบาลในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อ พ.ศ.2554

แปลและเรียบเรียงโดย
พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image