ที่มา | คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
เผยแพร่ |
เรียกน้ำย่อยทันที หลังจากร่างรัฐธรรมนูญ และคำถามพ่วงผ่านประชามติ
นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีต ส.ว. อดีต สปช. เปิดแถลงว่า จะตั้งพรรคการเมือง ชื่อว่าพรรคประชาชนปฏิรูป
นอกเหนือจากการปฏิรูปต่างๆ แล้ว พรรคนี้จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกฯ
ถือเป็นการจุดพลุโยนหินที่เรียกเสียงฮือฮาจากวงการเมือง แม้จะรู้สึกว่า ไม่ใช่มุขที่สดใหม่อะไรนัก
นายไพบูลย์กล่าวด้วยว่า คำถามพ่วงที่ประชาชนโหวตเห็นชอบกว่า 10 ล้านเสียง คงมีอุดมการณ์เดียวกับที่ตนเคยเสนอคือ สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อ เพราะถ้าไม่เห็นชอบคงไม่โหวตคำถามพ่วงให้ผ่านมากขนาดนี้
สำหรับคำถามพ่วงที่ได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนน 13.9 ล้าน ต่อ 10 ล้านเสียง ในการลงประชามติเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา มีเนื้อความว่า ใน 5 ปีแรก
ให้ ส.ว.ร่วมโหวตเลือกนายกฯกับ ส.ส.ได้
คำถามพ่วงที่ว่านี้ คณะของ อ.มีชัย ฤชุพันธุ์ จะต้องไปเติมไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ
เป็นการยกเว้นบทบัญญัติในรัฐธรรรมนูญ ที่กำหนดให้เฉพาะ ส.ส. 500 คน เป็นผู้เลือกนายกฯ ส่วน ส.ว. บทเฉพาะกาลกำหนดว่า ในวาระเริ่มแรก ให้มี ส.ว. 250 คน ที่ คสช.เป็นผู้สรรหา ด้วยวิธีการต่างๆ โดยให้มี ปลัดกลาโหม ผบ.สูงสุด ผบ. 3 ทัพ และ ผบ.ตำรวจแห่งชาติ รวม 6 ตำแหน่ง รวมอยู่ด้วย
เท่ากับว่า ในรัฐสภา 750 คน ส.ว.มีสัดส่วน 1 ใน 3 เลยทีเดียว
ส่วนในรัฐธรรมนูญ กำหนดให้มี ส.ว. 200 คน มาจากสาขาอาชีพต่างๆ แล้วมาเลือกกันเองให้เหลือตามจำนวน
คำประกาศของนายไพบูลย์ ออกมาในกระแสเดียวกับการตีความผลประชามติ ที่หลักๆ เห็นว่า เป็นคะแนนเสียงสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.
ต้องคอยดูกันต่อไปว่า จะมีรายใหญ่ๆ โดดออกมาในแนวเดียวกันอีกหรือไม่
และบิ๊กตู่จะมีความเห็นอย่างไรกับเสียงเชียร์ซึ่งจะยืดเวลาลงจากหลังเสือออกไป
สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพราะในอดีตก็เคยมีมาแล้ว ที่ภายหลังรัฐประหาร จะมีสูตรตั้งพรรคการเมือง ต่อท่ออำนาจ รองรับผู้นำรัฐประหารมาเป็นนายกฯในระบบพรรคการเมือง
ครั้งหลังสุดได้แก่ รัฐประหาร รสช.เมื่อ 23 ก.พ.2534 ก่อนลงเอยด้วยเหตุการณ์ในเดือน พ.ค. 2535
ส่วนรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 เกิดการคืนอำนาจอย่างรวดเร็ว ไม่ต่อท่ออำนาจ แล้วพรรคไทยรักไทยลุกจากหลุมมาชนะเลือกตั้ง จนกลายเป็นที่มาของข้อสรุป “เสียของ”
ผลประชามติ, รัฐธรรมนูญใหม่และบทเฉพาะกาล จะนำพาการเมืองมุ่งไปทางไหนพอเห็นกันได้อยู่
แต่จะไปได้แค่ไหน การตีความตัวเลขต้องเป๊ะ คลาดเคลื่อนขึ้นมาก็เหนื่อยเหมือนกัน