ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
ถนนจากตัวเมืองอุบลฯ ไป จ. ยโสธร ผ่านสี่แยกบายพาสดงอู่ผึ้ง กับผ่านห้วยแจระแม ก่อนถึงชุมชนคนกุลา บ้านโนนใหญ่ อ. เขื่องใน จ. อุบลราชธานี
ขากลับจากชุมชนคนกุลา ผมลงจากรถแท็กซี่ไปถ่ายรูปบริเวณสะพานข้ามห้วย แจระแม แล้วยืนมองไปไกลๆ ไม่มีจุดหมาย เพราะไม่รู้จะมองหาอะไร
ภูมิประเทศตรงห้วยแจระแมเหมาะสมหลายอย่างที่จะทำแหล่งบอกเล่าความเป็นมาของเมืองอุบลฯ โดยมีป้ายเขียนบอกไว้ แต่ไม่มี
ท้องถิ่นอุบลฯ ต้องทำเอง
เมืองอุบลฯ ทุกวันนี้มีความทันสมัยทุกด้าน ทั้งด้านเทคโนโลยีและด้านอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน
เช่น มีแท็กซี่บริการทั้งกลางวัน-กลางคืน เพราะมีประชากรหนาแน่น และเมืองขยายกว้างขวางมาก
แต่ยังขาดความเป็นสมัยใหม่ในเมืองอุบลฯ เพราะยังไม่มีมิวเซียมประวัติศาสตร์สังคมบอกความเป็นมาของผู้คนและบ้านเมืองอุบลฯ กับไม่มีหอศิลปวัฒนธรรมที่มีกิจกรรมสม่ำเสมอด้านศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย
ที่มีคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ไม่เอื้อต่อความเป็นสมัยใหม่ในความหมายสากล
อุบลราชธานี เป็นชื่อเมืองมีครั้งแรกสมัย ร.1 ราว พ.ศ. 2335 ตั้งอยู่บ้านห้วยแจระแม ต่อมาย้ายไปอยู่บ้านดงอู่ผึ้ง สืบใหญ่โตกว้างขวางจนปัจจุบัน
“แจระแม” (ในชื่อบ้านห้วยแจระแม) เป็นภาษาอะไร? แปลว่าอะไร? หมายถึงอะไร? ยังไม่รู้
“ดงอู่ผึ้ง” น่าจะหมายถึงบริเวณที่มีผึ้ง แล้วเคยถูกเกณฑ์ให้ส่งส่วยขี้ผึ้งเข้ากรุงเทพฯ จนมีพัฒนาการเป็นประเพณีแห่เทียนพรรษาทุกวันนี้
บ้านห้วยแจระแม กับบ้านดงอู่ผึ้ง ปัจจุบันอยู่ในเขต อ. เมืองฯ เป็นที่รู้จักทั่วไปของชาวอุบลฯ แต่คนส่วนมากไม่รู้ความหมายว่าเกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับกำเนิดอุบลราชธานี
ท้องถิ่นอุบลฯ ควรจัดสถานที่อยู่บริเวณบ้านห้วยแจระแมกับบ้านดงอู่ผึ้ง มีป้ายบอกประวัติความเป็นมาอย่างสั้นๆ ง่ายๆ ให้คนทั่วไปรู้ (ไม่ต้องใหญ่โตก็ได้)
โรงแรมและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในเมืองอุบลฯ น่าจะมีนิทรรศการขนาดกะทัดรัดเหมาะกับห้องโถงล็อบบี้ หรือมีแจกแผ่นพับขนาด A4 บอกความเป็นมาย่อๆ สั้นๆ ของเมืองอุบลฯ ชดเชยที่ไม่มีบอกในพิพิธภัณฑ์ของทางการ
รัฐราชการตั้งตนเป็นนาย เขาไม่ทำหรอกเพื่อชาวบ้านทั่วไป ท้องถิ่นเมืองอุบลฯ ต้องทำเอง