ผู้เขียน | พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ |
---|
รายงานเรื่อง “เสรีภาพในโลกออนไลน์” (Freedom on the Net 2020) ขององค์กร Freedom House ซึ่งจัดทำกันมาหลายปีแล้ว เพิ่งตีพิมพ์รายงานฉบับล่าสุดของปีนี้ออกมา ก็เลยอยากจะขอนำเอาเรื่องบางส่วนของรายงานฉบับนี้มาเล่าสู่กันฟัง และเชิญชวนให้ท่านผู้อ่านได้เข้าไปค้นคว้าเพิ่มเติม
รายงานเสรีภาพในโลกออนไลน์นี้ถือเป็นน้องใหม่ล่าสุดของรายงานหลักสามฉบับของ Freedom House ซึ่งเป็นองค์กรส่งเสริมประชาธิปไตยที่มีชื่อเสียงก่อตั้งมานานในสหรัฐอเมริกา โดยรายงานหลักรายปีอีกสองฉบับที่เก่าแก่กว่าตามลำดับก็คือ Freedom of the World กับ Freedom of the Press หมายถึงการไล่ดูภาพรวมของเสรีภาพโลก เสรีภาพสื่อ และเสรีภาพในโลกออนไลน์
โดยตัวของรายงานเสรีภาพในโลกออนไลน์เองนั้น จะแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ได้แก่ เรื่องของการประเมินคะแนนของแต่ละประเทศ และในส่วนของภาพรวมของปีซึ่งแต่ละปีจะมี theme หรือประเด็นหลักแตกต่างกันไป และก็ยังมีการวิเคราะห์บางประเทศเป็นพิเศษ (แต่ปีนี้ไม่มีเรื่องประเทศไทยเป็นพิเศษ)
ในส่วนของการประเมินคะแนนเสรีภาพในโลกออนไลน์ ซึ่งในรายงานแบ่งการประเมินออกเป็นสามด้านหลัก คือ
1.อุปสรรคในการเข้าถึง (25 คะแนน) ประกอบไปด้วย ประเด็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการโทรคมนาคมที่ทำให้คนออนไลน์ได้ไหม เท่าเทียมไหม ราคาแพงไหม มีการผูกขาดไหม รัฐบาลมีการระงับการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตในบางสถานการณ์ไหม
2.การจำกัดเนื้อหา (35 คะแนน) ประกอบไปด้วยเรื่องของการที่รัฐเข้ามาปิดกั้น หรือกลั่นกรองเนื้อหาในโลกออนไลน์ไหม มีการสั่งให้ลบเนื้อหาไหม มีการเปิดให้มีการร้องเรียนและทบทวนคำสั่งการปิดกั้นไหม บรรดานักข่าว ผู้ให้ความเห็น และผู้ใช้ทั่วไปมีการปิดกั้น/เซ็นเซอร์ตัวเองไหม รัฐบาลและผู้ที่มีอำนาจสามารถกดดันและบิดแปลงเนื้อหาในโลกออนไลน์ได้ไหม มีการแทรกแซงของรัฐด้วยเงื่อนไขทางเศรษฐกิจอะไรที่จะส่งผลต่อการสร้างแรงจูงใจในตีพิมพ์เนื้อหา เนื้อหาในโลกออนไลน์มีความหลากหลายไหม และประชาชนสามารถใช้โลกออนไลน์ในการรณรงค์ในเรื่องต่างๆ รวมทั้งการรณรงค์ทางการเมืองได้หรือไม่
3.การละเมิดสิทธิของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต (40 คะแนน) จะเห็นว่าเรื่องนี้มีน้ำหนักในการให้คะแนนสูงสุด เกี่ยวข้องกับเรื่องกฎหมายปกป้องผู้ใช้ ในเรื่องของการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ไหม (ไม่ใช่ปกป้องแต่รัฐ) มีการกำหนดบทลงโทษมากเกินสัดส่วนไหม มีการกำหนดให้ผู้ใช้ทุกคนลงทะเบียนไหม มีการสอดส่องจากรัฐที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชนไหม มีการขอความร่วมมือจากรัฐไปยังบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายให้ร่วมตรวจสอบผู้ใช้หรือไม่ มีการข่มขู่คุกคามของรัฐต่อผู้ใช้อินเตอร์เน็ตไหม และทุกฝ่ายตั้งแต่รัฐจนถึงประชาชนมีการถูกบุกรุกเข้าสู่ระบบอย่างผิดกฎหมายหรือไม่
และผลรวมของประเทศไทยในปีนี้คือ 35 เป็นประเทศที่ไม่เสรี เพราะได้คะแนน ซึ่งอยู่ในสถานะไม่เสรี (0-39) ส่วนกึ่งเสรีต้องได้คะแนน 40-69 และสถานะเสรีอยู่ที่ 70-100 ซึ่งเป็นการคงอันดับเท่ากับปีที่แล้ว และคาดว่าปีหน้าคะแนนน่าจะลงกว่าเดิม เพราะจะเกี่ยวพันกับเรื่องของการบริหารจัดการม็อบที่ผ่านมาด้วย
ในรายละเอียดนั้น ประเทศไทยได้คะแนน 16/25 จากหัวข้อ อุปสรรคในการเข้าถึง 12-35 จากหัวข้อ การจำกัดเนื้อหา และ 7/40 จากหัวข้อการละเมิดสิทธิของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต
โดยภาพรวมในโลกปี 2020 นี้ (วัดผลจากต้นปี 2019) จะพบว่ามีประเทศที่มีโลกออนไลน์ที่ไม่เสรีมากที่สุดคือ 35% กึ่งเสรี 32% เสรี 20% และไม่ได้ประเมิน 13%
ในส่วนภาพรวมของรายงานเสรีภาพในโลกออนไลน์ ปีนี้ใช้ชื่อประเด็นหลักว่า The Pandemic’s Digital Shadow หรือว่าด้วยเรื่องของเงา (ทะมึน) แบบดิจิทัลของโรคระบาด หมายถึงว่าภายใต้สถานการณ์วิกฤตด้านสุขภาวะและการระบาดอันเนื่องมาจากโรคโควิด-19 นี้ กลายเป็นว่าเกิดประเด็นท้าทายสำคัญต่อสิทธิมนุษยชนและการจัดการปกครองแบบประชาธิปไตย เนื่องจากรัฐและผู้กระทำการที่ไม่ใช่รัฐอีกหลายกลุ่มได้ใช้โอกาสนี้ในการเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องราวในโลกออนไลน์ ปิดกั้นความคิดเห็นที่สำคัญ และสร้างระบบเทคโนโลยีใหม่ที่ควบคุมสังคมมากขึ้นไปอีก
แนวโน้มสำคัญที่เกิดขึ้นสามประการในปีนี้คือ
1.ผู้นำทางการเมืองใช้ภาวะการระบาดของโลกเป็นเงื่อนไขในการจำกัดก่อนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อาทิ การปิดกั้นข่าวจากสำนักข่าวอิสระ หรือจับกุมผู้คนภายใต้ข้อหาการแพร่กระจายของข่าวปลอม ทั้งที่ในหลายกรณีนั้นรัฐและบรรดาผู้สนับสนุนรัฐเองก็เป็นผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลปลอม หรือข้อมูลที่นำไปสู่ความเข้าใจที่ผิดพลาด รวมทั้งบิดเบือน เปลี่ยนความสนใจของประชาชนไปจากการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ รวมไปถึงการเหมารวม/กล่าวโทษแบบโยนหาแพะรับบาปไปยังกลุ่มคนบางกลุ่ม อาทิ กลุ่มชาติพันธุ์ หรือศาสนาบางกลุ่มว่าเป็นต้นตอของปัญหาโดยปราศจากข้อมูลที่หนักแน่นน่าเชื่อถือ อาจรวมไปถึงการปิดกั้นการเข้าถึงหรือการมีส่วนร่วมของบางกลุ่มคนให้เข้ามาในโลกออนไลน์ ซึ่งกล่าวโดยสรุปก็คือ รัฐบาลนั้นล้มเหลวในการที่จะต้องทำหน้าที่ในการส่งเสริมให้เกิดโลกออนไลน์ที่มีความหลากหลาย มีชีวิตชีวาและน่าเชื่อถือ
2.รัฐบาลและผู้มีอำนาจอ้างเอาโควิด-19 มาเป็นเงื่อนไขในการขยายอำนาจในการสอดส่องประชาชนและใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เคยถูกมองว่ามีลักษณะละเมิดสิทธิและความเป็นส่วนตัวของประชาชน กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิกฤตและภัยพิบัติด้านสาธารณสุขในรอบนี้ได้เปิดโอกาสให้เกิดการรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นส่วนตัวมากๆ ของประชาชนโดยไม่มีระบบการปกป้อง/ป้องกันอย่างเพียงพอต่อการที่รัฐบาลอาจนำเอาข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ในทางที่ผิด ทั้งนี้ จะเห็นว่าทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนจำนวนไม่น้อยได้นำเอาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบการสอดส่องด้วยข้อมูลทางชีวภาพ (biometric) และระบบสัญญาณข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) ในการตัดสินใจซึ่งกระทบต่อสิทธิทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของผู้คน นอกจากนี้ กระบวนการใช้ข้อมูลเหล่านี้และตัดสินใจยังมีลักษณะที่ขาดความโปร่งใส และไม่มีองค์กรอิสระมากำกับดูแล หรือมีช่องทางในการชดเชยกับความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
3.มีความพยายามของแต่ละรัฐที่จะสร้างระบบอธิปไตยไซเบอร์ (cyber sovereignty) ของตัวเอง โดยมีระบบการกำกับดูแลของตัวเองที่ไม่ทำให้เกิดการไหลเวียนของข้อมูลข้ามประเทศ ซึ่งทำให้ระบบการเชื่อมโยงของผู้คนในโลกและการพยายามทำให้ตัวกระทำการที่มีอำนาจมากๆ ในโลกต้องถูกตรวจสอบและรับผิด และการสร้างระบบอธิปไตยไซเบอร์ในกรอบของความเป็นชาตินี้เองที่นำไปสู่การจัดการกับผู้ที่เห็นต่างหรือต่อต้านรัฐในแนวทางสันติวิธีได้ อาทิ เรื่องของการปิดกั้นบริการอินเตอร์เน็ตที่มาจากต่างชาติ รวมไปถึงการควบคุมสอดส่องโลกออนไลน์อย่างเข้มงวดภายใต้แนวคิดเรื่องความมั่นคง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการสถานการณ์ฉุกเฉินที่รัฐบาลประกาศขึ้น
ข้อเสนอหนึ่งที่เป็นประเด็นสำคัญในรายงานฉบับนี้ก็คือเป็นรายงานที่ตระหนักให้เห็นว่าในช่วงที่มีวิกฤตสาธารณสุขนี้การรับมือของรัฐบาลบางรัฐบาล ตลอดจนผลงานของรัฐบาลเหล่านั้นอาจจะไม่มีประสิทธิภาพมาตั้งแต่ก่อนโควิด-19 แล้ว แต่เมื่อประชาชนได้ออกมาชุมนุมบนท้องถนน พวกเขากลับถูกรัฐบาลใช้มาตรการต่างๆ ในการปิดกั้นเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และการเรียกร้องประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแพร่กระจายความหวาดกลัว และข้อมูลที่บิดเบือนในเรื่องสถานการณ์ (อาทิ มองว่าถ้าชุมนุมจะเป็นการกระจายความเสี่ยง และมีผู้ติดเชื้อจากการชุมนุม) แต่กระนั้นก็ตามข้อเสนอที่สำคัญก็คือจะต้องมีการเรียกร้องมากไปกว่าการมีนโยบายในการเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนในวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น
มาสู่เรื่องของการสร้างโครงสร้างการจัดการปกครองที่สามารถยอมรับ ส่งเสริม/ให้คุณค่า และปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้เกิดขึ้นจริงให้จงได้
ในรายงานเสรีภาพในโลกออนไลน์ของปีนี้ให้ความสำคัญกับการดำรงอยู่ของโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยสิทธิเสรีภาพ และการได้รับการส่งเสริมจากระบอบประชาธิปไตย ซึ่งแตกต่างไปจากความเป็นจริงในช่วงการบริหารสถานการณ์การฉุกเฉินด้านสุขภาวะของหลายประเทศในช่วงการระบาดของโควิด-19 โดยมองว่าลักษณะของการปิดกั้น (censor) ในยุคการระบาดของโควิด-19 นั้นเป็นไปในลักษณะของการแยกออก/สร้างความโดดเดี่ยวของข้อมูลข่าวสาร (information isolation) โดยเฉพาะการปิดกั้นเว็บไซต์ และลบข้อมูลอันไม่พึงประสงค์จากมุมมองของรัฐบาล ซึ่งอาจไม่ได้หมายความว่าข้อมูลเหล่านั้นไม่จริง รวมไปถึงการปิดกั้นข้อมูลไม่ให้ประชาชนในบางพื้นที่เข้าถึง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของวิกฤตสุขภาวะอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการที่กองกำลังทหารของรัฐบาลกลางเข้าไปต่อสู้และปราบปรามผู้เห็นต่างในบางพื้นที่ในช่วงเวลานั้นด้วย เช่น กรณีของเมียนมา นอกจากนี้รัฐบาลยังอาจจะปิดกั้นการวิจารณ์และจับตัวผู้ที่วิจารณ์รัฐบาลในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น รวมไปถึงอาจจะปล่อยให้หรือเป็นส่วนหนึ่งของการแพร่ระบาดของข่าวสารที่ไม่ถูกต้องและสร้างความเกลียดชัง (infodemic) ในสังคมด้วย
อีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญในการสร้างเงาทะมึนด้านดิจิทัลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็คือการสร้าง “ยาแก้สารพัดโลกที่ไม่เป็นจริง” (False Panacea) โดยการสอดส่องประชาชนในทางที่ผิดโดยการใช้ข้ออ้างของการบริหารจัดการสาธารณสุข ซึ่งมีการค้นพบว่าหลายครั้งในอดีตนั้นการขยายขอบเขตอำนาจรัฐที่เริ่มต้นขึ้นในห้วงขณะที่มีวิกฤตการณ์นั้นมักจะทำให้อำนาจรัฐนั้นคงอยู่และมีอายุยืนยาวกว่าตัววิกฤตการณ์เหล่านั้น คือเมื่อวิกฤตการณ์จบลง อำนาจรัฐที่ขยายตัวและรุกรานเข้ามาในปริมณฑลของความเป็นส่วนตัวของประชาชนก็จะเพิ่มขึ้นไม่ถอยกลับไปสู่จุดเดิม ในรอบนี้นั้นการขยายอำนาจของหน่วยงานรัฐบาลและการเติบโตแพร่กระจายของแอพพลิเคชั่นติดตามตัวบุคคลนั้นเกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหง และบางทีไม่มีข้อจำกัดว่าจะเก็บข้อมูลและลบข้อมูลออกเมื่อไหร่ รวมทั้งการปล่อยให้เอกชนหลายที่พัฒนาระบบความปลอดภัยโดยเอาข้อมูลชีวภาพของเราเช่น ดีเอ็นเอ ไปใช้และยังรวมไปถึงการที่รัฐกับเอกชนที่ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมในการสอดส่องประชาชนเกินเส้นของความพอดี เช่นการสอดส่องไปถึงข้อมูลการเดินทางและตำแหน่งแห่งที่ของประชาชนโดยไม่ได้รับการยินยอมจากประชาชนเสียก่อน นอกจากนั้น ยังเกิดความคลางแคลงใจในเรื่องของการสอดส่องที่พ้นไปจากการกระทำของมนุษย์ไปสู่การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการพิจารณาในเรื่องต่างๆ เช่น การระบุสถานะความเสี่ยงทางสุขภาพของบุคคลจากการประมวลข้อมูลด้วยฐานข้อมูลและระบบปัญญาประดิษฐ์ในการกำหนดชีวิตมนุษย์
กล่าวโดยสรุป รายงานเสรีภาพในโลกออนไลน์ปีนี้ทำให้เราตระหนักและตระหนกด้วยว่า “ชีวิตปกติใหม่” ของเราจากวันนี้ไปจะเหมือนกับการอยู่ในเงาทะมึน หรือกล่องดำ ที่เต็มไปด้วยความมืดมนจากการสอดส่องของรัฐและองค์กรเอกชนมากขึ้นและไม่ได้สัดส่วนกับการแก้ปัญหาโควิด-19 ที่มีต่อการต้องแลกเอาสิทธิเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตยของสังคมไป และที่น่ากลัวกว่าโลกเผด็จการแบบเดิมๆ ที่เรามักจะมองว่าไร้หัวใจอยู่แล้วก็คือบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ที่มีบทบาทมากขึ้นทุกวัน และพ้นไปจากการควบคุมของทุกคนนั่นแหละครับ
สุดท้ายสรุปง่ายๆ จากที่อ่านคือ โควิดหมดไปหรือเปล่าไม่รู้ บ้างก็บอกว่ามันอาจจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นที่ไร้พิษสงไปเอง แต่รัฐกลับมีอำนาจเพิ่มขึ้นและเพิ่มพิษสงมากขึ้นนั่นแหละครับ นี่คือขยายมาในปริมณฑลของโลกออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับ
พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์