จะว่าไปก็เหมือนที่โบราณว่า “ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิด” ถึงอย่างไรก็ไม่มิด
โควิด-19 ระบาดรอบสองนี้ทำเอาบรรดาโรงงาน โรงแรม โรงเรียน โรงฝึกสอน โรงนวด โรงเลี้ยงเด็ก โรงเลี้ยงคนชรา โรงพยาบาลกับอีกสารพัดโรง รวมถึงร้านรวงต่างๆ ตลาดเช้าตลาดเย็น คนเล่นดนตรี นักแสดง พ่อค้าแม่ค้าธุรกิจทั้งหลาย ต้องหยุดประกอบการ
เสียหายย่อยยับนับแสนล้าน !!
ตั้งแต่ในช่วงแรกที่ฝีแตกจาก “มหาชัย” ไม่มีใครเลยสักคนที่จะยอมรับอย่างตรงไปตรงมา แล้วตั้งใจ
แก้ปัญหา
แรงงานต่างด้าว “นอกระบบ” นับแสนคนที่สมุทรสาครกับที่อื่นๆ ไม่ได้ถูกบล็อกและตรวจสอบ
มีแต่คำแก้ตัวที่บอกว่า ชายแดนไทยกับเพื่อนบ้านยาวเป็นพันกิโลเมตร แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายหลบหนีผ่าน “ช่องทางธรรมชาติ” ได้ง่าย
แต่ในความเป็นจริง การลักลอบเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติ ไม่ได้เป็น “ธรรมชาติ”
มีผู้เกี่ยวข้องกว้างขวาง มีอิทธิพล ทำกันเป็น “ขบวนการ” ลักลอบขนแรงงานเถื่อนกันอย่างจริงจังเป็นล่ำเป็นสัน ทำกันมานานจนกล่าวได้ว่า ทุกฝ่ายได้รับผลประโยชน์ถ้วนหน้า
และแบมือรับกันอย่างเป็น “เอกภาพ” !
ไม่มีคำตำหนิ “กองกำลังทหาร” ซึ่งมีหน้าที่ตามแนวชายแดนจาก “นายกรัฐมนตรี” และ “รัฐมนตรีกลาโหม” แม้แต่น้อย
ฝีแตกจากแรงงานข้ามชาติที่สมุทรสาครยังไม่พอ ถัดมาปรากฏว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายต่อๆ มารับว่า
“มาจากบ่อนการพนัน”
บ่อนการพนันมีอยู่ทุกหนแห่ง มีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองราวกับย้ายกาสิโนปอยเปตมาตั้งไว้ในภาคตะวันออก
และ กทม.
แต่เมื่อไปถามถึงบ่อนการพนัน “รองนายกรัฐมนตรี” ก็ได้แต่ตอบว่า ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่มี ไม่มี ใครว่ามี-ให้บอกมา
ขณะที่ “ผบ.ตร.” ก็แสนซื่อบอกว่า ถ้าแม้ว่ามีบ่อน หรือไปจับบ่อนเข้าก็หาพยานหลักฐานดำเนินคดีไม่ได้ คนพวกนี้ชอบอ้างบุคคลสำคัญ และนักการเมืองสนับสนุน
เมื่อผู้มีหน้าที่รับผิดชอบหมดสภาพ “ส่วย” ก็ร่าเริง
ภายใต้เครือข่าย “3 ป.” ที่ยึดโยงทั้งการเมือง และระบบราชการนั้นก่อให้เกิดความอหังการ และการคอร์รัปชั่นอย่างกว้างขวาง
“ส่วย” จากขบวนการแรงงานเถื่อนข้ามชาติกับ “ส่วย” จากบ่อนการพนันทำให้ระบบการป้องกันประเทศ
ทั้งด้านความมั่นคง และสาธารณสุขพังพินาศ
ปัญหามาจากคนในเครือข่ายทั้งสิ้น
ตัวละครที่เป็น “ต้นเหตุ” มีอยู่แค่หยิบมือเดียว !?!!
