แนวโน้ม ระเบิด เอนไป ชายแดน ภาคใต้ หลักฐาน ตำรวจ

ในที่สุด สถานการณ์วางเพลิง วางระเบิด 17 จุด ใน 7 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งปรากฏขึ้นระหว่างวันที่ 11-12 สิงหาคม ก็เริ่มมีความแจ่มชัด

ถนนทุกสายมุ่งไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

“พูด” ตรงกัน “ร้องเพลง” เดียวกัน

Advertisement

เพียงแต่ยืนยันว่า 1 เป็นการก่อวินาศกรรม มิได้เป็นการก่อการร้าย ขณะเดียวกัน 1 มิได้เป็นการขยายพื้นที่โดยกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

นั่นก็คือ มาแต่ “คน” มาแต่ “ระเบิด”

ในอีกด้านจึงเท่ากับอรรถาธิบายว่า เป็นเรื่องของ “ปัจเจก” มิได้เป็นเรื่องของ “ขบวนการ” ไม่ว่าจะเป็นขบวนการพูโล ไม่ว่าจะเป็นขบวนการบีอาร์เอ็น

Advertisement

ทำไมต้องเน้นว่า “วินาศกรรม” มิใช่ “ก่อการร้าย”

น้ำเสียงตรงนี้ก็เหมือนกับสถานการณ์วางเพลิง วางระเบิดที่สุราษฎร์ธานีเมื่อปี 2558 บนพื้นฐาน 1 มิได้เป็นการประกาศหรือแสดงตัว และ 1 มิได้เป็นการขยายพื้นที่ปฏิบัติการ

บทสรุปเช่นนี้มาจาก “หลักฐาน” มาจาก “ความเป็นจริง”

 

เบื้องต้นจากสถานการณ์จังหวัดตรังอาจเกิดความไขว้เขวเพราะมองแต่จุด จุดเดียวมิได้มองทั่วทั้งป่าและเจาะลงไปในต้นไม้แต่ละต้น

แต่เมื่อจับเอามา “ประสาน” และ “เชื่อมโยง”

เบาะแสที่ภูเก็ต เบาะแสที่พังงา เบาะแสที่สุราษฎร์ธานี เบาะแสที่ตรัง เบาะแสที่นครศรีธรรมราช เบาะแสที่กระบี่ เบาะแสที่หัวหิน

1 ลายเซ็นชี้ไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ยิ่งกว่านั้น 1 ไม่ว่าจะจากการตรวจสอบวิธีการจุดชนวน ไม่ว่าจะข้อสังเกตโดยผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือยี่ห้อซัมซุง ฮีโร่

ซื้อหามาได้จาก “มาเลเซีย” เท่านั้น ไม่มีแหล่งอื่น

เมื่อนำเอา “หลักฐาน” จากดีเอ็นเอที่ปรากฏในตัวระเบิดไปตรวจสอบกับดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยในอดีต ไม่ว่าจะจากกรณี อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ไม่ว่าจะเมื่อมีการมอบตัว ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี อ่านออกมาได้ตรงกัน

สามารถโยงยาวไปถึงการประท้วงครั้งใหญ่หลังปล้นปืนที่เจาะไอร้อง นราธิวาส และการประท้วง ณ อ.ตากใบ นราธิวาส เมื่อปี 2547

มือระเบิดมีความเป็นมาอย่างไร เด่นชัด

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นผ่านกระบวนการในทาง “นิติวิทยาศาสตร์” สะท้อนความร่วมมืออย่างใกล้ชิด แนบแน่นจาก 2 ฝ่าย

1 ฝ่ายตำรวจ 1 ฝ่ายทหาร

ในเบื้องต้นอาจจะแลดูสะเปะสะปะไปบ้าง เห็นได้จากการชี้เบาะแสไปยัง “หน่วยพิทักษ์ความปลอดภัยเฉพาะกิจ” เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ที่ อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช

แต่ความจริงกลับปรากฏว่าเป็นการหารือเรื่อง “กฐินพระราชทาน”

ในเบื้องต้นอาจจะแลดูอึกทึกครึกโครมไปบ้างเมื่อมีการจับ “นักเคลื่อนไหว” ไม่ว่าจะที่ตรัง ไม่ว่าจะที่นครศรีธรรมราช ไม่ว่าจะที่ราชบุรี ไม่ว่าจะที่อ่างทอง

แต่ตำรวจยืนยันว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับ “ระเบิด”

“ผู้ต้องสงสัยอันเกี่ยวกับระเบิดและการวางเพลิงมีเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ นายศักรินทร์ คฤหัสถ์ เป็นการจับตามหมายจับของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช และการใช้อำนาจตาม ม.44”

เป็นแถลงจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา

คราวนี้ก็ต้องให้เวลาไม่ว่าจะเป็น 1 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็น 1 เจ้าหน้าที่ทหารว่าจะสามารถสอบสวนและขยายผลอย่างไร

มีความเชื่อมโยงระหว่าง “หนุ่มสันกำแพง” กับ “หนุ่มมุสลิม” หรือไม่

ความเชื่อมโยงบนพื้นฐานของพยานและหลักฐานซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ทั้งต่อศาลและต่อสาธารณะต่างหากที่ทรงความหมายเป็นอย่างสูง

สูงเพราะเป็น “ความจริง” และมิได้ “มโน”

 

กรอบแห่งรูปคดีและสถานการณ์ วางเพลิง วางระเบิด 17 จุด ใน 7 จังหวัดทางภาคใต้จึงเริ่มมีความแจ่มชัด

ความแจ่มชัดนี้มาจากกระบวนการสอบสวน สืบสวน ของเจ้าหน้าที่ “ตำรวจ” และการแถลงอย่างเป็นระบบของเจ้าหน้าที่ “ตำรวจ”

มีแต่ยืนอยู่กับ “ความจริง” เท่านั้น ทุกอย่างจึงจะ “โปร่งใส”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image