ที่มา | คอลัมน์โลกสองวัย มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | บางกอกเกี้ยน |
เผยแพร่ |
“กลอน เปล่า” คือการเรียกขานบทกวีประเภทหนึ่ง (ในภาษาไทย) งานวรรณกรรมของทุกชาติทุกภาษาเมื่อเผยแพร่ออกสู่สาธารณชน ผู้อ่าน ผู้สัมผัสจะรับรู้ถึงอรรถรสนั้น โดยมิพักต้องเป็นประเภทใด
อรรถรส ของบทประพันธ์ที่ประพันธกรเรียบเรียงและเรียงร้อยจากอักษรตัวหนึ่งเป็นคำ หนึ่ง เป็นวลีหนึ่ง เป็นประโยคหนึ่ง เป็นหลายประโยค กระทั่งเป็นบทประพันธ์ บทกวีเรื่องหนึ่ง
จบแล้ว จะนำส่งให้บรรณาธิการพิจารณาตีพิมพ์เผยแพร่ ตีพิมพ์ขึ้นมาอ่านเองและในหมู่เพื่อนพ้อง หรือเก็บไว้อ่านคนเดียว คุณค่าของบทประพันธ์บทกวีนั้นไม่มีวันเสื่อมคลาย
“กลอนเปล่า” ยังปรากฏในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ประจำสม่ำเสมอ “กลอนเปล่า” ที่ตีพิมพ์เป็นประจำวันนี้ เป็นของ “ภักดิ์ รตนผล” กวีนิพนธ์แห่งความเดียวดายแต่ไม่ว่างเปล่า อดีตนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเพื่อนรักนักกลอนของชุมนุมวรรณศิลป์ จุฬา
เคยมีผลงานมาหลายเล่ม อีกไม่นานผู้อ่านคงมีโอกาสได้อ่านผลงานกลอนเปล่ารวมเล่มของกวีผู้นี้
ก่อน จะได้อ่าน “กลอนเปล่า” ของ ภักดิ์ รตนผล ผลงานรวมเล่ม วันนี้หา “ถ้าจะพอเรียกมันว่าบทกวี” (ห้วงรำพึงรำพันถึงทุรสมัย) ของ เวฬุ เวสารัช มาอ่านไปพลาง มิใช่การคั่นรายการ แต่เป็นการแนะนำดาวรุ่งดวงใหม่ในวงการกวี ซึ่งมิใช่คนเก่าในแวดวงวรรณกรรม
เวฬุ เวสารัช เปิดเผยตัวตนไว้ในหน้าสุดท้าย “เกี่ยวกับผู้เขียน” ว่า
เวฬุ เวสารัช เป็นนามปากกาที่ใช้ในการเขียนบทกวีของนักเขียน นักหนังสือพิมพ์หนุ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มทำงานแบบที่พอเรียกบทกวีราวกลางปี พ.ศ.2553 ด้วยความอัดอั้นตันใจจากเหตุการณ์ล้อมปราบกลางเมืองที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก
ขณะที่ภายใต้นามจริงซึ่งคนส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็น นามปากกา มีผลงานรวมเล่มออกมาแล้ว 5 เล่ม แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้การันตีว่า งานรวมเล่มชุดนี้พอที่จะเรียกว่าบทกวีได้
ส่วนเกริ่นนำที่บอกว่า จะให้เขียนอะไร (เสมือนคำนำ) ในหน้าแรกก่อนอ่าน “ถ้าพอจะเรียกมันว่าบทกวี” ในหน้าถัดไป ขึ้นต้นยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะและอย่างมั่นใจว่า
คง เป็นการพลาดอย่างมหันต์ หากว่าผมไม่เขียนงานชุดนี้ ไม่ตีพิมพ์ผลงานชุดนี้ และไม่ยอมนำเสนอมันออกมาในช่วงนี้ – “ห้วงรำพึงรำพันถึงทุรสมัย”
ทำ ได้เท่านี้ในห้วงเวลาที่อะไรช่างดูมืดดำและสิ้นหวังไปเสียหมด ผมเปิดรับข่าวสาร เสพติดความผิดหวัง ความไม่ได้ดังใจ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลืนกินสิ่งเหล่านี้เข้ามาอยู่ในตัว
จนวันหนึ่งก็เหมือนคนเล่นยาเกินขนาด
ดังนั้น เพื่อป้องกันการลุกไปทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น หรือแม้แต่ตีอกชกตัวให้ทุรนทุรายเอง ผมจึงเลือกที่จะเขียนมันออกมาเพื่อ “บำบัด”
จะให้เขียนอะไรล่ะ? ปัดโธ่!
วัน ก่อนมีการเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ที่ร้าน The Writer?s secret สุจิตต์ วงษ์เทศ เทศนานำวาทกรรมตามประสานักข่าวนักหนังสือพิมพ์ที่ประกาศตัวว่า “จิตวิญญาณกู คือ หนังสือพิมพ์รายวัน” พูดในลีลาข่าวหนังสือพิมพ์รายวัน เรียกเสียงเฮฮาด้วยลูกล่อลูกชนเฉียบ
เมื่อถึงการเสวนา “งานสร้างสรรค์ภายใต้บรรยากาศประชาธิปไตย 99.99%” บอกไว้ว่า “เชตวัน เตือประโคน นักข่าวและนักเขียนหนุ่มเจ้าของนามปากกา เวฬุ เวสารัช” เปิดเผยว่า เป็นงานที่เขียนในช่วงปี 2556-2559 ช่วงที่การเมืองขัดแย้งมาก โดยใช้นามปากกา เวฬุ เวสารัช เพราะคิดว่ากวีต้องมีนามปากกาเท่ๆ
“ถ้า พอจะเรียกมันว่าบทกวี” (ห้วงรำพึงรำพันถึงทุรสมัย) เป็นบทกวีทั้งบทกลอนและกลอนเปล่าที่อ่านแล้วได้กลิ่นอายการเมืองในยุคนี้ เต็มที่ ตั้งแต่ ทุรยุคอุบัติ, อสัตย์มธุรส, ผองชนตื่นขบถ, ปรากฏสัจจะ ทั้ง 4 ภาค ที่จบบทสุดท้าย ชื่อ “อนาคตร่วมกัน” ว่า “อนาคตคือ ไม่มีอนาคตร่วมกัน” รีบหา
“ถ้าพอจะเรียกมันว่าบทกวี” สำนักพิมพ์โจนทะยาน ราคา 160 บาท มาอ่านโดยพลัน