ที่มา | คอลัมน์ FUTURE pertect มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ทีปกร วุฒิพิทยามงคล |
เผยแพร่ |
“นี่คนก็ติดโปเกมอน โก จนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ผมคิดว่าปัจจุบันคนเราก็ติดมือถือมากพออยู่แล้ว นี่ยังต้องไปเสียเงินให้กับบริษัทบ้าๆ นี้เอง ตกเป็นทาสของมัน นี่นะ ผมจะเล่าให้ฟัง ลูกชายผมจะต้องเข้าค่ายพรุ่งนี้ ลองคิดดูสิครับ ตอนที่เราเป็นเด็ก เราจะเข้าค่ายพรุ่งนี้ วันนี้เราคงตื่นเต้น เตรียมข้าวเตรียมของไปค่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนมา ผมบอกให้มันลุกไปเก็บของ มันก็มัวแต่เล่นเกมในมือถือ เด็กสมัยนี้ใช้ไม่ได้เลย เอาล่ะครับ บ่นมาเยอะแล้ว เพลงต่อไปเป็นเพลงของ…”
เสียงของดีเจคลื่นวิทยุหนึ่งลอยมาปะทะหูผม ที่เขาจับความสนใจผมได้ชะงัดก็เพราะมีคำว่า ‘โปเกมอน โก’ นี่แหละครับ ตอนนั้นบนหน้าจอมือถือของผมไม่ใช่อะไรอื่น นอกไปเสียจากสิ่งที่ดีเจคนนั้นกำลังด่าอยู่ในวิทยุเป๊ะๆ พอเขาด่าใครก็ตามที่เล่นโปเกมอน โก ผมเลยรู้สึกว่าถูกด่าไปด้วย จึงเงยหน้าขึ้นมาฟังให้จบ ก่อนจะจับใจความได้ว่า อ้อ..ที่เขาอัดอั้นตันใจทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องคนเล่นโปเกมอน โก หรอก แต่มันเป็นเรื่องของลูกชายที่บ้าน
เรื่อง “มือถือเป็นสิ่งที่ตัดเราให้ขาดออกจากกัน หรือเป็นสิ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์” ดูเหมือนจะไม่เคยจบเลยนะครับ คำพูดทำนองว่า “ก้มหน้าไปที่มือถืองุดๆ จนไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน” ก็ยังคงใช้ได้เสมอ “นัดเพื่อนมากินข้าว ทุกคนจ้องมือถือ ไม่มีใครคุยกัน” ก็เป็นภาพที่เราเห็นถูกใช้เพื่อแซะคนติดมือถือกันจนชินตา ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกรวมๆ ด้วยคำที่ผมไม่ชอบว่า “สังคมก้มหน้า”
ผมเองเคยเป็นฝ่ายที่ทั้งทิ้งคนอื่น (ด้วยการจ้องมือถือ) และถูกคนอื่นทิ้ง (ด้วยการที่คนอื่นจ้องมือถือ) จึงเข้าใจความรู้สึกของทั้งคนทิ้งและคนโดนทิ้งไปพร้อมๆ กัน และยังคิดว่าการที่คิดว่ามือถือเป็นทั้งหน้าต่าง (ให้เราปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น) และเป็นผนัง (ที่ปิดกั้นคนอื่นจนเราสามารถอยู่ในโลกส่วนตัวในสถานการณ์ที่เรารู้สึกไม่สบายใจ ไม่มีอะไรจะคุย หรืออื่นๆ) ไปพร้อมกันด้วย
มีงานวิจัยจาก PEW Research Centre ในปีที่แล้ว ถึงมารยาทการใช้โทรศัพท์มือถือของคนอเมริกัน (ซึ่งก็อาจจะไม่ต่างจากคนไทยมาก-มั้งนะครับ-หางานวิจัยของคนไทยไม่เจอเหมือนกัน) เขาบอกว่าเจ้าของมือถือถึง 89% ยอมรับว่าเคยเปิดมือถือขึ้นมาใช้ในขณะที่เข้าสังคมอยู่ และมี 82% ที่บอกว่ารู้ตัวว่าการใช้มือถือในสถานการณ์เหล่านี้ทำให้คุณภาพบทสนทนาในวงลดลง
Sherry Turkle ผู้เขียนหนังสือ Alone Together เชื่อมโยงงานวิจัยนี้เข้ากับงานวิจัยอีกชิ้นที่บอกว่าเด็กวัยรุ่นวัยมหาวิทยาลัยในปัจจุบันมี “ความเห็นอกเห็นใจ” เพื่อนมนุษย์ลดลงจากสมัยก่อนๆ นั่นคือ ถ้าหากเทียบกับเด็กวัยรุ่นมหาวิทยาลัยสมัยยุค 80’s และ 90’s แล้ว เด็กสมัยนี้มีความเห็นอกเห็นใจชาวบ้านลดลง 40% และสามารถอ่านความรู้สึกบนใบหน้าของคนอื่นได้ไม่ดีนัก แต่เธอก็บอกด้วยว่าเมื่อจัดแคมป์ให้เด็กๆ เลิกใช้มือถือและแท็บเล็ตเป็นเวลา 5 วัน พวกเขาก็สามารถกลับมาอ่านอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นได้ดีขึ้น เธอจึงสรุปว่าการอยู่ให้ห่างจากมือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้น มีแนวโน้มที่จะทำให้เรามีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น
เธอบอกในคอลัมน์ New York Times ชื่อ “Stop Googling, Let’s Talk.” (หยุดกูเกิลเหอะแล้วมาคุยกัน) ว่า “เรารู้เรื่องนี้ (ว่ามือถือทำให้เรามีความสัมพันธ์กับคนรอบข้างน้อยลง) อยู่แก่ใจ แต่งานวิจัยเพิ่งได้มายืนยันความเชื่อของเราเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าจะต้องเลิกใช้มือถือไปเลยหรอกนะ แต่ควรจะใช้มันด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เราต้องเอาบทสนทนากลับมาอีกครั้งให้ได้” เธอรวบรวมข้อคิดเห็นและงานวิจัยทั้งหมดนี้ไว้ในหนังสือเล่มล่าสุดชื่อ Reclaiming Conversation: The Power of Talk in a Digital Age (ทวงคืนบทสนทนา: พลังแห่งการพูดคุยในยุคดิจิทัล)
ผลงานของ Turkle อาจถูกอกถูกใจใครหลายคนตรงที่มันมาช่วยยืนยันความเชื่อเรื่องนี้ของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าเราอยู่ในสังคมก้มหน้า การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำให้ความเป็นมนุษย์ (ในความหมายของเขา) ตกต่ำลง และการเลิกหรือลดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้มนุษย์ผุดขึ้นจากหล่มนี้ได้
อย่างไรก็ตาม มีผู้วิพากษ์งานวิจัยของ Turkle ไว้หลายคน โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกนักเทคโนโลยีนั่นแหละครับ แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่ชอบที่ Turkle มาบอกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ลดทอนความเห็นอกเห็นใจหรือความเป็นมนุษย์อย่างไรบ้าง เพราะพวกเขามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าไปอีกทาง นั่นคือเชื่อว่าเทคโนโลยีต่างหากที่จะเป็นตัวประสานความเป็นมนุษย์ให้เฟื่องฟูขึ้นได้อีกครั้ง
คำวิจารณ์หนึ่งที่ผมคิดว่าควรค่าแก่การรับฟัง เป็นของ Jenny Davis จากเว็บไซต์ Daily Dot ซึ่งก็ได้ศึกษาเรื่อง Empathy หรือความเห็นอกเห็นใจมาเช่นกัน เธอวิจารณ์การทดลองของ Turkle โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับ “การเข้าค่ายเลิกใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” ว่าเป็นการทดลองที่ไม่ได้มาตรฐานและมีอคติ เพราะก่อนทดลอง คะแนนความเห็นอกเห็นใจของกลุ่มเลิกใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้นแย่กว่ากลุ่มที่ไม่ต้องเลิกใช้มากๆ ทำให้หลังเข้าค่าย กลุ่มเลิกใช้อิเล็กทรอนิกส์มีคะแนนเพิ่มขึ้น “จนดูเหมือนกับว่า” เลิกใช้อิเล็กทรอนิกส์แล้วจะมีความเห็นอกเห็นใจเพิ่มขึ้นอย่างนั้น
ปัญหาของบทสรุปของ Turkle ที่ Jenny วิจารณ์ไว้คือ Turkle บอกว่าการก้าวไปสู่สื่อดิจิทัลนั้นคล้ายกับว่าเราได้ขยับออกจากบทสนทนาที่แท้จริงไป คำพูดนี้เหมือนกับพูดว่า “บทสนทนาที่แท้จริง” นั้นจะเกิดขึ้นได้ต่อหน้าเท่านั้น ส่วนการสนทนาออนไลน์นั้นมีความ “ไม่จริง” อยู่ ซึ่งนี่เป็นฐานคิดที่คนแยกโลกจริง / โลกออนไลน์แบบ Dualism ชอบใช้ (คือพวกนี้จะไม่คิดว่าโลกจริงและโลกออนไลน์ซ้อนทับกัน ซึ่งจริงๆ แล้วมันซ้อนทับกันเป็นสัดส่วนไม่น้อย)
ผมลองกลับมาถามตัวเองว่าทำไมตนจึงรู้สึกหงุดหงิดเมื่อคนอื่นเล่นมือถือขณะที่เรากำลังพูด จนอาจเข้าข่ายเคลมว่า “มือถือทำให้คนติดต่อกันน้อยลง” ก็ได้เหตุผลว่า คงเป็นเพราะว่าผมรู้สึกพ่ายแพ้ต่ออำนาจของมือถือ ต่ออำนาจของโลกอื่นที่คู่สนทนากำลังจ้องอยู่ อำนาจที่ผมสู้ไม่ได้แม้จะปรากฏกายให้จับต้องได้ต่อหน้าก็ตาม บทสนทนาบนมือถือมันคงสนุกสนานกว่า น่าสนใจกว่าผมที่อยู่ตรงหน้าเขาสินะ ความพ่ายแพ้ในลักษณะนี้เมื่อสะสมหลายๆ ครั้ง ก็อาจทำให้นึกรังเกียจมือถือจนพูดออกมาว่า “สังคมก้มหน้า” ได้อยู่เหมือนกัน
จริงๆ แล้วมือถือจึงไม่ใช่ผนังหรือหน้าต่างเสียทีเดียว แต่มันคงเปรียบเหมือน “โพรงวิเศษ” มากกว่า ที่ใครก็ตามสามารถลอดเข้าไปเพื่อพบกับอะไรอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า ในขณะที่คนอื่นก็ได้แต่เห็นด้านหลังของคู่สนทนา แล้วพยายามจ้องเข้าไปในโลกที่ตัวเองไม่ได้รับอนุญาต
เป็นโลกที่อำนาจแบบเดิมๆ เข้าไม่ถึง เป็นการแข็งขืนต่อสถานะเดิมที่เรามีต่อกัน
บางครั้งที่ดีเจคุณพ่อคนนั้นหงุดหงิดอาจเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถใช้อำนาจกับลูกชายได้ เพราะลูกชายเลือกที่จะขัดขืนอ่อนๆ โดยการใช้มือถือมาบังเท่านั้นเอง