ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
ก่อนหน้าที่โควิด-19 จะกลับมาระบาดใหญ่อีกรอบ ความเคลื่อนไหวที่จะกระตุ้นให้ประชาชนทบทวนการปล่อยให้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นไปอย่างคึกคัก ประสานเป็นเป้าหมายร่วมกันของทุกฝ่าย
แต่เมื่อยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดใหม่ในแต่ละวันพบมากขึ้น และผู้เชี่ยวชาญออกมาให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่ารอบนี้จะรุนแรงกว่ารอบที่ผ่านๆ มา เพราะเชื้อแรงขึ้น กระจายไปแล้วในวงกว้าง ในสภาวะที่ความระมัดระวังตัวเองของประชาชนน้อยกว่าเดิม ทำให้ความเคลื่อนไหวที่ให้นายกรัฐมนตรีทบทวนการอยู่ในอำนาจของตัวเองต้องล่าถอยไป
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังอยู่ต่อไปได้อย่างที่อยากอยู่ และคงจะอยู่ต่อไปอีกยาวนาน ด้วยหากฟังคำที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในช่วงที่ผ่านมาย่อมรับรู้ได้ว่า “ความเชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์นั้นต่างกับความคิดของประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง”
ขณะที่ประชาชนรวมตัวกันออกมาเรียกร้องให้ลาออกไป พยายามนำเสนอให้เห็นว่า “พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีความสามารถอะไร บริหารประเทศมา 7 ปีกว่าเกิดการสะสมปัญหาให้กับประเทศมากมาย นำพาชีวิตประชาชนสู่ความเลวร้าย เยาวชนคนรุ่นใหม่รู้สึกว่าตัวเองต้องเติบโตไปในสภาวะสิ้นหวังในการสร้างอนาคตมากขึ้นเรื่อยๆ”
แต่จากคำที่ให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่า “พล.อ.ประยุทธ์” เชื่อว่าตัวเอง “ทำงานหนัก ด้วยความเสียสละ และจำเป็นต้องทำต่อไป” คล้ายกับว่าไม่มีทางเลือกอื่น และมองการต่อต้านเป็นเรื่องธรรมดา “คนเกลียดก็เกลียด คนรักก็ยังรัก” เป็นปกติธรรมดา
เมื่อคนที่ไม่เชื่อในความสามารถของ พล.อ.ประยุทธ์ และเห็นว่าขืนอยู่ต่อไปจะทำให้ประเทศเลวร้ายยิ่งขึ้น ต้องยุติความเคลื่อนไหวเพราะการระบาดของโควิดบังคับให้ต้องเลี่ยงการรวมตัวเพื่อแสดงออกซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะแสดงให้เห็นว่าประชาชนมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลง หรือกำหนดการบริหารจัดการประเทศได้
อำนาจของประชาชนถูกจำกัดด้วยโควิด
แต่สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วไม่ใช่ ความคิดความเชื่อว่าตัวเอง “เก่ง มีความสามารถ ทุ่มเททำงานหนัก จำเป็นต้องเสียสละ มีคนรักและเห็นดีเห็นงามให้เป็นผู้นำประเทศ” ไม่ถูกกระทบกระเทือนด้วยผลจากการระบาดของโควิด
การระบาดของโควิดยิ่งทำให้เป็นอำนาจที่ไม่มีการต่อต้านเสียด้วยซ้ำ
พล.อ.ประยุทธ์ จึงอยู่ได้เท่าที่อยากอยู่ ไม่มีใครทำอะไรได้ ไม่ว่าประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ยังสามารถอยู่ในความคิดว่ามี “คนรัก คนชอบ คนศรัทธา” ได้อย่างอบอุ่นต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อไร้อำนาจของประชาชนที่จะออกมารวมตัวต่อต้าน
ที่จะทำให้เกิดผลสะเทือนได้คือ “รัฐสภา”
แต่บทบาทของผู้ทรงเกียรติทั้งหลายที่ผ่านมาย่อมพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ยังควบคุมได้ง่ายดายไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล
วุฒิสมาชิก และผู้ทำหน้าที่ในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ยังแสดงบทบาทในทิศทางเดียวกันกับการบริหารเสถียรภาพของ พล.อ.ประยุทธ์
มีสมาชิกรัฐสภาบางพรรคบางคนพยายามหาทางด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แน่นอนว่าประเด็นเรื่อง “วุฒิสภา” และ “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” ประเด็นสำคัญที่อยากจะแก้ไข
แต่ถึงวันนี้ย่อมรับรู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้เลย
ที่ผ่านมานั้น ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไปเพราะศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าจะต้องทำประชามติก่อน
เมื่อรัฐสภานำ “พ.ร.บ.ว่าด้วยประชามติ” เข้าวาระพิจารณา สภาก็ล่มไม่สามารถทำให้เสร็จทันในสมัยประชุมนี้ ซึ่งทำให้แก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้
แม้ นายวิษณุ เครืองาม ผู้กำหนดทิศทางการตีความกฎหมายของประเทศนี้จะบอกว่า “แก้ได้” เพราะมีเฉพาะหมวด 1 หมวด 2 วิธีแก้รัฐธรรมนูญ อำนาจหน้าที่องค์กรอิสระ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ ส.ส. และ ส.ว. ต้องทำประชามติก่อน แต่ถ้าไม่มีประเด็นเหล่านี้ก็จะไม่กระทบ
แต่คำถามก็คือ หากไม่แก้อำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระ คุณสมบัติของ ส.ส.และ ส.ว.แล้ว จะเป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้การปกครองประเทศเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร
สรุปแล้ว อำนาจของ “พล.อ.ประยุทธ์” ยิ่งนับวันยิ่งแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรจะมาสร้างปัญหา หรือเป็นอุปสรรคได้
เป็นอำนาจที่ไม่เกี่ยวกับศรัทธาประชาชนหรือการบริหารประเทศ
แต่เป็นอำนาจที่กำหนดไว้แล้วให้ต้องมีอยู่ โดยเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้