ท่ามกลางสถานการณ์ที่โควิดกำลังสร้างความชุลมุนให้กับรัฐบาลที่ด้อยประสิทธิภาพนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่า ประชาชนในประเทศไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคนภายในปี 2564 นี้
ซ้ำยังเผลอฟุ้งไปต่างๆ นานาว่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจได้หลังจากนี้
จะฟื้นจากไข้ ต้องมีหมอดี วินิจฉัยแม่นยำและให้ยาถูกต้อง
ในทางตรงกันข้าม ผู้ป่วย จะอาการทรุดหนักขึ้นถ้าหากใช้ หมอผี มารักษา
อวิชชาครอบงำทำให้หลงงมงายและนำพากันไปผิดทิศผิดทาง!
รัฐบาลเพ้อฝันจะฟื้นเศรษฐกิจประเทศจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
คิดว่าคนชาติอื่นกินหญ้ากินฟางหรือ
ก่อนจะมาเที่ยวไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องดูว่า รัฐบาลไทยฉีดวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้ออะไรให้กับประชาชนไปแล้วกี่คนกี่เข็ม
สมมุติว่าถ้าใช้ แอสตร้าเซนเนก้า ก็ประมาณการได้ว่า จะต้องฉีดวัคซีนให้ได้ถึงร้อยละ 70 ของจำนวนประชากร
พลเมืองไทยมี 69 ล้านคน
ร้อยละ 70 ของจำนวนประชากรคือ 48.3 ล้านคน
ไทยจะต้องใช้วัคซีน 96.6 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กับประชาชน 48.3 ล้านคน
แต่ทันทีที่นายกรัฐมนตรีพูดว่า จะฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไทย 35 ล้านคน เสร็จสิ้นในปี 2564 ความหมายที่ชาวต่างชาติตีความได้ก็คือ ศักยภาพ ของรัฐบาลไทยมีจำกัด
ประมาณการว่า รัฐบาลมีวัคซีนฉีดให้กับคนไทยได้แค่ร้อยละ 50.7
ส่วนอีกร้อยละ 19.3 หรือประมาณ 13,300,000 คน ยังไม่มีคำตอบ ฝากไว้กับอนาคตในปี 2565
ความหวังที่จะเกิด ภูมิคุ้มกันหมู่ ขึ้นในประเทศไทย จะได้กวักมือเรียกนักท่องเที่ยวให้กลับมาโดยเร็ว ความฝันที่จะฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจึงเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ
ปัญหาเกิดจาก การผูกขาด ความสามารถในการบริหารจัดการวัคซีน
โควิด-19 เอาไว้ในมือรัฐบาลแต่เพียงผู้เดียว
ทั้งๆ ที่รัฐบาลบริหารจัดการเรื่องวัคซีนล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า แต่ถ้าใครวิจารณ์ พวกลิ่วล้อก็จะเข้าจัดการในทันที
แต่ล่าสุดนี้ ผู้ที่ออกมาชี้แนะ (วิจารณ์) ไม่ใช่คนธรรมดา
นายธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ถึงกับว่า ฝากถึงรัฐบาล ให้ส่งเสริมสนับสนุนเอกชนนำเข้าวัคซีนต้านโควิด อย่างน้อยก็เพื่อให้แต่ละบริษัทสามารถนำวัคซีนเข้ามาดูแลพนักงานของบริษัทหรือลูกค้าของตัวเองได้
จนถึงเวลานี้ นายกรัฐมนตรีของไทยก็ยังคงไม่เข้าใจคำว่า วิสัยทัศน์ !?!!