การพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่พึงประสงค์ของไทย โดย อุทิศ สุภาพ

การป้องกันอาชญากรรมโดยทั่วไปมี 2 รูปแบบ ได้แก่ แบบไม่เป็นทางการ (Informal) และแบบเป็นทางการ (Formal) สำหรับรูปแบบไม่เป็นทางการนั้นส่วนใหญ่จะใช้มาตรการทางสังคม (Social control) มาเป็นเครื่องมือในการขัดเกลา (Socialize) และก็ยังอาศัยการบำบัดฟื้นฟูร่างกายและจิตใจให้หายจากความบกพร่อง ทั้งนี้เนื่องจากในทางทฤษฎีอาชญาวิทยาเชื่อว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนกระทำความผิดนั้นเกิดจากปัจจัยทางด้านชีววิทยา จิตวิทยาบกพร่อง และปัจจัยทางด้านสังคมเป็นส่วนสำคัญ ดังนั้น หากมีการป้องกันไม่ให้มีสาเหตุปัจจัยดังกล่าวเกิดขึ้นก็จะทำให้ไม่เกิดอาชญากรรมได้ เช่น การป้องกันโดยใช้สถาบันทางสังคม (ครอบครัว โรงเรียน ศาสนา) ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วัฒนธรรม ศีลธรรม เป็นเครื่องมือในการป้องกันอาชญากรรม เป็นต้น

ส่วนรูปแบบเป็นทางการนั้นจะใช้กฎหมายเป็นมาตรการในการป้องกันอาชญากรรม ทั้งนี้ เนื่องจากทฤษฎีทางอาชญาวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า สาเหตุที่ทำให้คนกระทำความผิดนั้นเกิดจาก Free will (เจตจำนงอิสระ) กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนมีอิสระเสรีที่จะทำอะไรตามใจชอบ ซึ่งความเป็นอิสระเสรีนั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิด เสมือนเป็นสิทธิตามธรรมชาติ (National Right) เมื่อมนุษย์มีความอิสระเสรีมากเกินไป ก็ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ดังนั้นจึงต้องมีการจำกัดขอบเขตให้อยู่ในความเหมาะสมอันชอบธรรม จึงมีแนวคิดที่จะหาสิ่งที่มายับยั้ง Free will ให้แสดงพฤติกรรมตามความเหมาะสมและสมควร ไม่กระทบต่อสิทธิของผู้อื่นและทำให้เดือดร้อน โดยเชื่อว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นจะชอบความสนุกเพลิดเพลินและจะหนีความทุกข์ ความเจ็บปวด

ดังนั้น สิ่งซึ่งจะมายับยั้ง Free will ไม่ให้เกิดขึ้นตามใจชอบก็คือ ความเจ็บปวดหรือการลงโทษนั่นเอง

ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเชื่อว่ากฎหมายอาญาสามารถที่จะยับยั้งไม่ให้คนกระทำความผิดได้ เนื่องจากกฎหมายอาญามีโทษกำหนดไว้ จึงเป็นผลทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกใช้มาตรการทางกฎหมายในการป้องกันอาชญากรรมกันโดยทั่วกัน

สําหรับการใช้มาตรการทางกฎหมายมาเป็นเครื่องมือในการป้องกันอาชญากรรมนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเป็นหน่วยงานหลักในการบังคับใช้กฎหมายก็คือหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยงานที่สำคัญ ได้แก่ ตำรวจ, อัยการ, ศาล, ราชทัณฑ์ ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวข้างต้นมีหน้าที่โดยตรงที่จะบังคับใช้กฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อให้การป้องกันอาชญากรรมมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามไปด้วย

ADVERTISMENT

การที่จะทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ คนเกรงกลัวไม่กล้าที่จะกระทำความผิดนั้น มีปัจจัยที่สำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายควรจะต้องคำนึงถึง ดังนี้

(1) เนื้อหาของกฎหมายต้องมีความรัดกุม ชัดเจน ทันสมัย และมีบทกำหนดโทษที่สูงเพียงพอ ไม่ต่ำเกินไปด้วย

(2) หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ได้แก่ ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ จะต้องประสานงานกันในการที่จะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปด้วยความแน่นอน รวดเร็ว เสมอภาค และมีการลงโทษที่เหมาะสมด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้กระทำผิดเกรงกลัวไม่กล้าเสี่ยงที่จะกระทำผิดขึ้นอีก หรือทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเอาเป็นเยี่ยงอย่างด้วย

สำหรับการบังคับใช้กฎหมายให้มีความแน่นอนนั้น คือการจับกุมผู้กระทำผิดให้ได้มากที่สุด โดยให้มีการหลุดรอดไปน้อยที่สุด ส่วนความรวดเร็วก็คือ การจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ไม่ให้คนลืม และสำหรับความเสมอภาคก็คือผู้กระทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทุกคน โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนการได้รับโทษที่เหมาะสมนั้นก็คือโทษที่ได้รับนั้นจะต้องไม่หนักหรือเบาเกินไปด้วย

(3) ทำให้ประชาชนเคารพกฎหมาย (Respect for Law) โดยการเผยแพร่ให้ความรู้แก่ประชาชนและการปลูกจิตสำนึก

การเผยแพร่ความรู้ให้แก่ประชาชนทราบนั้น อาจทำได้ในหลายแนวทางด้วยกัน เช่น การใช้สื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ จัดนิทรรศการ หรือการจัดโครงการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายในโรงเรียน วัด ชุมชน เป็นต้น ส่วนการปลูกจิตสำนึกนั้น ได้แก่ การขัดเกลาจิตใจให้คนเคารพระเบียบวินัย ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศีลธรรม กฎ กติกาของสังคม เพื่อให้มีคุณธรรมประจำใจ มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ไม่ละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมืองโดยใช้สถาบันทางสังคมมาเป็นเครื่องมือช่วยในการขัดเกลา เช่น ใช้สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา มาอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี เป็นต้น

การบังคับใช้กฎหมายนอกจากจะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาโดยตรงแล้ว ยังเป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่นๆ ที่มีหน้าที่ในการรักษาการตามกฎหมายอีกด้วย เช่น ผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติต่างๆ เป็นต้น ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจึงต้องมีการบังคับใช้กฎหมายให้เคร่งครัด เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงจะทำให้อาชญากรรมลดลงได้ แต่ปัจจุบันอาชญากรรมทวีความรุนแรงและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นตัวชี้วัดแสดงให้เห็นว่าหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาขาดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย

ด้วยเหตุนี้ จึงสมควรหาแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้มีการบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

โดยทั้งนี้จะวิเคราะห์สภาพปัญหาของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ในภาพรวมทั้งระบบมาแสดงเป็นสังเขปให้เห็นเป็นกรณีตัวอย่างเพื่อนำไปเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขต่อไป

และในการนี้จะสังเคราะห์แนวทางการพัฒนาหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่พึงประสงค์เป็นลำดับไป ดังต่อไปนี้

1.สภาพปัญหาของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย ในภาพรวมที่สำคัญนั้นมีอยู่หลายประการดังเช่นกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) การขาดเอกภาพในการบริหารงาน เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมทางอาญานั้นประกอบไปด้วยหลายหน่วยงานและยังมีบางหน่วยงานกระจัดกระจายอยู่ในต่างสังกัด การปฏิบัติงานยังขาดทัศนคติในการร่วมมือกัน อันมีลักษณะต่างคนต่างทำ ไม่เป็นแนวทางเดียวกัน เช่น กรณีการลงโทษผู้กระทำความผิด ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุก เพื่อให้ผู้กระทำผิดเข็ดหลาบ เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ไม่กล้าที่จะกระทำความผิดขึ้นอีก รวมทั้งเพื่อไม่ให้บุคคลอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างด้วย แต่ราชทัณฑ์พยายามที่จะปล่อยผู้กระทำผิดออกไปเร็วๆ โดยใช้วิธีลดโทษหรือพักการลงโทษ ซึ่งเป็นผลให้ผู้กระทำความผิดไม่เข็ดหลาบ และหวนไปกระทำความผิดซ้ำขึ้นอีก เป็นผลทำให้คำพิพากษาของศาลขาดความศักดิ์สิทธิ์ ไม่เกิดประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ในการลงโทษทางอาญา ซึ่งจะส่งผลให้กระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพลงได้ เป็นต้น ซึ่งถ้าหากศาลกับราชทัณฑ์เป็นหน่วยงานที่อยู่ในสังกัดเดียวกันแล้ว ก็สามารถที่จะทำงานโดยประสานงานกันเป็นไปในแนวทางเดียวกันได้ง่ายขึ้น

(2) การขาดนโยบายระดับชาติ เช่น การขาดนโยบายทางอาญาร่วมกัน ทำให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาขาดความรับผิดชอบร่วมกันสำหรับในกรณีที่มีความผิดพลาดหรือความบกพร่องเกิดขึ้น เป็นต้น ดังเช่นกรณีตัวอย่างในคดีเชอรี่ แอนด์ ดันแคนนั้น พบว่ามีความบกพร่องหรือผิดพลาดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานในหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ตั้งแต่ตำรวจ พนักงานอัยการ ศาล ราชทัณฑ์ แต่ปรากฏว่าไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบโดยตรงในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ไม่อาจปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพได้

(3) การขาดการตรวจสอบถ่วงดุล เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมทางอาญายังขาดกลไกถ่วงดุลที่เหมาะสม ทั้งในด้านภายในองค์กรและระหว่างองค์กรในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา รวมทั้งยังขาดการตรวจสอบจากภายนอกด้วย ทำให้เกิดการผูกขาดในอำนาจมากเกินไป อันส่งผลให้ขาดความโปร่งใสขึ้นได้

(4) การขาดศักยภาพในการพัฒนาเพื่อให้เท่าทันภารกิจการบริหารงานยุติธรรมในยุคปัจจุบัน เนื่องจากอาชญากรรมมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะอาชญากรรมข้ามชาติก่อให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก แต่มาตรการในการปราบปรามยังไม่มีการพัฒนาเท่าที่ควร เช่น การขาดบุคลากรที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือขาดกฎหมายที่ทันสมัย เป็นต้น

(5) การขาดข้อมูลผู้กระทำผิด เนื่องจากระบบข้อมูลเกี่ยวกับประวัติอาชญากรนั้นยังไม่สามารถเชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาด้วยกัน หรือในระหว่างหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ไม่สามารถดำเนินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่อาจปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และรวดเร็วด้วย

(6) การจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณไม่เพียงพอ เนื่องจากหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญายังขาดอัตรากำลังเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัย จึงเป็นผลทำให้การดำเนินงานขาดประสิทธิภาพไป

(7) ความล่าช้าในการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เช่น การดำเนินคดีล่าช้า ขาดประสิทธิภาพตั้งแต่ขั้นตอนการสอบสวน การฟ้องหรือการพิจารณาคดีของศาล อันทำให้การบังคับใช้กฎหมายขาดประสิทธิภาพและกฎหมายขาดความศักดิ์สิทธิ์ ส่งผลให้ประชาชนขาดที่พึ่งและขาดความศรัทธา เป็นต้น

2.สำหรับแนวทางในการพัฒนาแก้ไขปัญหาให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยเกิดประสิทธิภาพและเป็นที่พึงประสงค์นั้น มีหลายแนวทางประกอบกันดังกรณีตัวอย่างต่อไปนี้ 2

(1) การปรับปรุงด้านโครงสร้าง โดยให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญามารวมสังกัดอยู่ในกระทรวงเดียวกัน และเพิ่มหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาขึ้นมาเสริมอีก เช่น การเพิ่มหน่วยงานที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยค้นคว้าทางวิชาการ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้การบริหารงานยุติธรรมเป็นเอกภาพในทิศทางเดียวกัน

(2) การพัฒนาบุคลากรให้เข้าใจวัตถุประสงค์ของระบบงานยุติธรรมร่วมกัน เช่น การจัดสัมมนาฝึกอบรมร่วมกันเพื่อให้เข้าใจบทบาทหน้าที่ซึ่งกันและกัน เป็นต้น

(3) การจัดให้มีคณะกรรมการประสานงาน เช่น การให้มีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ มาร่วมเป็นคณะกรรมการประสานงาน เพื่อให้การดำเนินงานและแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เป็นต้น

(4) การจัดให้มีคณะกรรมการประสานแผน เพื่อให้การทำงานมีความสอดคล้องกัน จึงต้องมีการวางแผนระหว่างหน่วยงานให้ควบคู่กันไป เช่น การสร้างศาล ที่ทำการอัยการ และเรือนจำ ควรจะต้องดำเนินการวางแผนไปพร้อมๆ กัน เป็นต้น

(5) การปรับปรุงกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยควรจะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย ทั้งในด้านการค้นหาความจริง หรือการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และการคุ้มครองสิทธิของประชาชนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและโปร่งใสยิ่งขึ้น

(6) การตรวจสอบถ่วงดุล โดยควรจะต้องมีกลไกการควบคุมถ่วงดุลให้เกิดประสิทธิภาพ ทั้งภายในองค์กร ระหว่างองค์กร ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและจากภายนอกด้วย

(7) การกำหนดค่าชดเชย รัฐควรมีนโยบายในการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้เสียหายหรือเหยื่อ เพื่อเป็นการช่วยเยียวยาในลักษณะเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของรัฐด้วย

(8) การปรับปรุงวิธีการศึกษา ค้นคว้า วิจัยในด้านกฎหมาย โดยจะต้องปรับปรุงวิธีการศึกษาให้มีการศึกษากฎหมายอย่างเป็นระบบ ซึ่งอาศัยหลักทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ โดยไม่ควรศึกษากฎหมายแบบท่องจำและควรจะมีสถาบันวิจัยและพัฒนากฎหมาย รวมทั้งสถาบันการพัฒนากระบวนการยุติธรรมไว้โดยเฉพาะด้วย

(9) การดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาด้วยความรวดเร็วและแน่นอน มีข้อมูลเชื่อมโยงกัน เช่น ควรมีการจัดตั้งศูนย์ระบบข้อมูลให้เชื่อมโยงกันเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องรวดเร็ว เป็นต้น

3.บทสรุป

กระบวนการยุติธรรมทางอาญาประกอบไปด้วยหน่วยงานหลักและหน่วยงานย่อยที่มาเสริมในหลายหน่วยงานด้วยกัน ดังนั้นการทำงานควรจะต้องมีทิศทางไปในแนวเดียวกันโดยจะต้องมีคณะกรรมการประสานงานในรูปของกฎหมายเพื่อให้มีการทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องและมีความรับผิดชอบต่อสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น และการทำงานควรจะต้องมีกลไกการตรวจสอบกันเองในแนวดิ่งโดยสายการบังคับบัญชา และจะต้องมีการตรวจสอบระหว่างองค์กรด้วยกันเพื่อให้เกิดความโปร่งใสด้วย สำหรับการพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญานั้นจะต้องพัฒนางานการบริหารงานในแต่ละหน่วยงานให้เกิดประสิทธิภาพ และในขณะเดียวกันก็จะต้องพัฒนาระบบการทำงานร่วมกันของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมให้มีนโยบายทางอาญาร่วมกัน รวมทั้งต้องพัฒนาคนที่จะทำงานให้มีความรู้ ประสบการณ์ และมีจริยธรรมควบคู่กันไปด้วย ดังนั้น เมื่อมีการพัฒนาคนกับระบบรวมทั้งส่วนประกอบย่อยอื่นๆ ที่นำมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงาน เช่น งบประมาณ วัสดุ เครื่องมือ เครื่องใช้อื่นๆ ให้มีปริมาณเพียงพอแล้ว เชื่อว่าในอนาคตข้างหน้าอันใกล้นี้ก็จะได้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอันเป็นที่พึงประสงค์ของไทยอย่างแน่แท้

ข้อเสนอแนะ

การปรับปรุงแก้ไขกระบวนการยุติธรรมทางอาญานั้น ควรมีการพัฒนา ปรับปรุง พร้อมกันไปทั้งระบบ ได้แก่ ทางด้านการบริหารจัดการทั้งภายในหน่วยงานของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และในระหว่างหน่วยงานของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา รวมทั้งมีหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาเสริมด้วย เพื่อให้มีกลไกเชื่อมโยงที่สมบูรณ์ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถตรวจสอบได้ด้วย