กทม.ข้าราชการบำนาญ…ละเมิด? โดย สงวน ไวทยธรรม

ช่วงระยะเวลา 2-3 เดือนมานี้มีข่าวเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดคือกรุงเทพมหานคร ปัญหาจะอยู่ที่การบริหารงบประมาณเป็นประเด็นใหญ่ ซึ่งสังคมได้ให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง

มีปัญหาที่เป็นเรื่องของคนในแวดวงกรุงเทพมหานครด้วยกันเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้รับความเสมอภาค ที่สังคมภายนอกอาจจะไม่รู้จักอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีผลกระทบกับบุคลากรของกรุงเทพมหานครเอง คือ ข้าราชการบำนาญไม่ได้รับสิทธิที่เขาควรจะได้รับเหมือนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ ทั่วประเทศ กล่าวคือ ข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วไปจะมีกฎหมายและระเบียบรองรับว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2509 เป็นต้นไป เวลาเกษียณอายุราชการแล้วจะได้รับเงินเพิ่มจากเงินบำนาญอีกร้อยละ 25 ทุกคน ระเบียบฉบับนี้คือระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2509 โดยเจตนารมณ์ของการให้เงินเพิ่มจากบำนาญร้อยละ 25 นี้ ก็เพื่อเป็นการจูงใจให้คนเข้ามารับราชการส่วนท้องถิ่นกันมากๆ จะเข้ามาด้วยการโอนเข้ามาหรือสอบแข่งขันเข้ามาก็แล้วแต่ เพราะในช่วงเวลานั้น ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด พนักงานเทศบาล และพนักงานสุขาภิบาล จะเป็นกลุ่มข้าราชการที่คนส่วนมากไม่อยากเข้ามา โดยเห็นว่าอยู่ห่างไกลความเจริญ ยากลำบาก ไม่ทัดเทียมกับข้าราชการอื่นๆ ถึงกับมีคำกล่าวกันว่า พวกองค์กร พวกเทศบาล คือลูกเมียน้อย ไม่ได้รับการดูแลให้สวัสดิการต่างๆ เท่าเทียมกับข้าราชการอื่นๆ

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรุงเทพมหานครถือกำเนิดมาจากประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 335 ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2515 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งนี้มาจากการยุบรวมองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และสุขาภิบาล คือ เทศบาลนครกรุงเทพ เทศบาลนครธนบุรี องค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนคร องค์การบริหารส่วนจังหวัดธนบุรี และสุขาภิบาล เป็นรูปร่างสมบูรณ์ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษคือ “กรุงเทพมหานคร” เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2516 มีพระราชบัญญัติ ระเบียบต่างๆ รองรับถูกต้อง และมีกฎหมายฉบับหนึ่งที่เป็นผลพวงมาจากปี พ.ศ.2509 คือระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2509 ระเบียบฉบับนี้ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2516 โดยยังยึดเจตนารมณ์เดิมคือการให้เงินเพิ่มจากบำนาญร้อยละ 25 แก่ข้าราชการกรุงเทพมหานครที่เกษียณอายุราชการและรับบำนาญ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งนี้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) มีการพัฒนาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจะมีพระราชบัญญัติในการบริหาราชการแล้ว ก็ได้มีพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2516 เพื่อจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญให้แก่ข้าราชการกรุงเทพมหานคร

โดยพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้บัญญัติว่า ให้นำพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2500 มาใช้บังคับโดยอนุโลม (บัญญัติไว้ในมาตรา 8)

ปัญหาที่เกิดขึ้นที่ผู้เขียนเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่เสมอภาค ไม่เท่าเทียม และขัดต่อหลักนิติธรรม คือ การจ่ายเงินเพิ่มจากเงินบำนาญปกติร้อยละ 25 ให้แก่ข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานครที่เคยเป็นข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด เคยเป็นพนักงานเทศบาล เคยเป็นพนักงานสุขาภิบาล ไม่ถูกต้อง ข้าราชการกลุ่มนี้ถูกตัดโอนมาเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 335 ดังกล่าวแล้ว เมื่อข้าราชการกลุ่มนี้เกษียณอายุราชการและรับบำนาญปกติ แต่การจ่ายเงินเพิ่มจากบำนาญไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด จึงเกิดปัญหาขึ้น ข้าราชการกลุ่มนี้มีหนังสือร้องเรียนไปถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2549 ว่า การจ่ายเงินเพิ่มจากบำนาญไม่ถูกต้องขอให้แก้ไขด้วย แต่ก็ถูกประวิงเวลามาตลอดเป็นเวลากว่า 6 ปี จนในที่สุดกรุงเทพมหานครจึงได้ออกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2554 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 ให้จ่ายเงินเพิ่มจากบำนาญร้อยละ 25 ที่ถูกต้องให้แก่ข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานครทุกคน แต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งเข้าใจว่า ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว แม้จะเสียเวลานานไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ข้อเท็จจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะระเบียบฉบับที่ 8 พ.ศ.2554 นี้ เขียนหมกเม็ดด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ว่า ระเบียบฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2554 เป็นต้นไป นั่นก็หมายความว่าข้าราชการบำนาญที่เกษียณมาแล้วคนละหลายๆ ปี บางคนเกษียณมาแล้วกว่า 20 ปี ก็จะได้รับเงินเพิ่มจากบำนาญนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2554 เป็นต้นไป แต่คนที่เกษียณตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2554 เป็นต้นไปจะได้รับเงินเพิ่มนี้ทุกคนตั้งแต่วันเกษียณอายุราชการ

ADVERTISMENT

กรุงเทพมหานครได้จ่ายเงินเพิ่มจากบำนาญไม่ถูกต้องมาตั้งแต่วันเกษียณอายุราชการของแต่ละคนแล้ว ตัวอย่างที่จ่ายไม่ถูกต้องจะเห็นได้ชัดเจนจากตัวอย่างต่อไปนี้ นาย ก. รับราชการครั้งแรกที่เทศบาลนครกรุงเทพ เมื่อ พ.ศ.2515 เกษียณอายุราชการแล้วจะได้รับคำสั่งจากกรุงเทพมหานครให้จ่ายเงินบำนาญเดือนละ 32,432.20 บาท พร้อมด้วยเงินเพิ่มจากบำนาญร้อยละ 25 จำนวน 6.60 บาท (ทั้งที่ข้อเท็จจริงต้องจ่าย 8,108.45 บาท) รวมเป็นเงินบำนาญเดือนละ 32,438.80 บาท แต่ นาย ข. รับราชการครั้งแรกที่เทศบาลนครนนทบุรี พ.ศ.2515 เกษียณแล้วจะได้รับเงินบำนาญเดือนละ 32,432.20 บาท เช่นเดียวกับนาย ก. แต่ได้รับเงินเพิ่มร้อยละ 25 เดือนละ 8,108.05 บาท รวมเป็นบำนาญเดือนละ 40,540.25 บาท แตกต่างกันถึง 8,101.45 บาทต่อเดือน จากกรณีตัวอย่างนี้ ถ้าราชการกรุงเทพมหานครที่เกษียณมาแล้ว 10 ปี ก็จะขาดเงินเพิ่มยอดนี้ไปประมาณ 972,000 กว่าบาท สาเหตุที่กรุงเทพมหานครจ่ายเงินเพิ่มให้น้อยเช่นนี้ กรุงเทพมหานครอ้างว่า ความเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นของข้าราชการกลุ่มนี้สิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2516 มาเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2516 (ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่มีกฎหมายและระเบียบใดเลยที่บัญญัติว่าให้ความเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นสิ้นสุดลง) จึงคิดคำนวณเงินเพิ่มให้ตั้งแต่วันเข้ารับราชการวันแรก ถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2516 โดยให้ถือเสมือนว่าได้เกษียณอายุราชการแล้วครั้งแรก และจะมีเกษียณอายุราชการอีกครั้งหนึ่งในวันเกษียณจริง จึงมีคำถามว่าข้าราชการมีการเกษียณ 2 ครั้งได้หรือ การตีความกฎหมายของข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกต้องหรือไม่ ตีความกฎหมายให้เป็นคุณกับตัวเองหรือไม่ ข้าราชการที่เคยอยู่เทศบาลมา 2-3 ปี มีสิทธิได้รับบำนาญได้หรือ มีกฎหมายและระเบียบอะไรรองรับให้แบ่งคำนวณบำนาญและเงินเพิ่มเป็น 2 ครั้ง การปฏิบัติเช่นนี้เป็นการละเมิดสิทธิของผู้เกษียณหรือไม่ มีคำถามอีกมากมายตามมา ซึ่งข้อเท็จจริงการคำนวณบำนาญให้ข้าราชการตามระเบียบแล้ว จะต้องเอาเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีเวลาราชการหารด้วยห้าสิบ สำหรับข้าราชการที่มีอายุราชการ 25 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

การออกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2554 ที่ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2554 เป็นต้นไปนั้น จุดประสงค์ก็เพื่อให้สิทธิการได้รับเงินเพิ่ม 25% แก่ข้าราชการ 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เข้ามารับราชการกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2516 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2535 และกลุ่มข้าราชการอื่นที่ไม่ใช่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่ได้โอนมาเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งข้าราชการ 2 กลุ่มนี้ไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มจากบำนาญเลย ถ้าไม่มีระเบียบนี้มารองรับ ส่วนข้าราชการบำนาญที่เคยอยู่เทศบาล เคยอยู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดมาก่อน มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มนี้มาแต่แรกแล้ว ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2516 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2516

การที่กรุงเทพมหานครอ้างว่าระเบียบฉบับที่ 8 พ.ศ.2554 นี้ไม่มีผลให้บังคับย้อนหลังนั้น เป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

ทั้งหมดที่ผู้เขียนได้กล่าวมานี้ คือความไม่พอใจของข้าราชการบำนาญที่เคยอยู่เทศบาล เคยอยู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดมาก่อน แล้วถูกตัดโอนมาเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานคร ด้วยผลพวงของประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวแล้ว เวลาที่ข้าราชการกลุ่มนี้เกษียณอายุราชการแล้ว กลับไม่ได้รับสิทธิที่จะพึงมีพึงได้ตามที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นเหตุให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นเหมือนกันได้รับเงินเพิ่มจากบำนาญแตกต่างกัน ย่อมแสดงให้เห็นถึงความไม่เสมอภาค หรือความไม่เท่าเทียมกัน การตีความกฎหมายของกรุงเทพมหานครในประเด็นที่ให้ถือเสมือนว่าได้เกษียณอายุราชการแล้วครั้งแรกโดยเอาวันที่ 13 กรกฎาคม 2516 เป็นเส้นแบ่งเพื่อคำนวณเงินบำนาญเป็น 2 ครั้งจึงไม่ถูกต้อง

สิ่งที่ข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานครต้องการคืออยากให้ผู้บริหารที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง คำนวณเงินบำนาญและเงินเพิ่มจากบำนาญให้ถูกต้องตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2500 ที่กรุงเทพมหานครนำมาใช้บังคับโดยอนุโลม คือการจ่ายเงินเพิ่มจากบำนาญปกติตั้งแต่วันเกษียณอายุราชการ ไม่ใช่มาจ่ายตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2554 เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ขอเรียกร้องผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อมทุกๆ ด้าน แต่การปฏิบัติกับข้าราชการบำนาญแตกต่างจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในการลดสิทธิที่พวกเขาจะพึงมีพึงได้ตามกฎหมาย ตั้งแต่วันเกษียณอายุราชการคือการจ่ายเงินเพิ่มจากบำนาญร้อยละ 25 ขอให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาเพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้สูงวัย เพื่อให้ข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานครได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในวัยชราด้วย