ที่เห็นและเป็นไป : สัญญาณความเปลี่ยนแปลง

ที่เห็นและเป็นไป : สัญญาณความเปลี่ยนแปลง

ไม่ว่าใครก็ตามที่ติดตามการเมืองไทยมายาวนานระดับหนึ่ง จนมีประสาทที่สัมผัสได้ถึงสัญญาณแห่งความเปลี่ยนแปลง จะรับรู้ได้ว่าช่วงนี้เริ่มสัมผัสได้ถึงสัญญาณเช่นนั้นแรงขึ้น

ถ้าเป็นเมื่อก่อน อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลจะเป็นสัญญาณหลักที่บอกว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว

ความไม่พอใจของประชาชนเนื่องจากความเดือดร้อน และรัฐบาลไม่มีผลงานอะไรพอที่จะมั่นใจว่ามีความสามารถแก้ไขได้ ยิ่งเกิดกระแสประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาที่จะต้องเผชิญ ผู้นำจะต้องรับรู้ว่าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จะต้องหาทางอย่างหนึ่งอย่างใดทำให้ประชาชนสัมผัสได้ว่าความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว

แต่วันนี้ อำนาจที่เข้มข้น และแข็งแกร่งของผู้ครองอำนาจ ที่มาจาก “กฎหมาย” ที่เขียนขึ้นมารองรับเป็นการเฉพาะ พร้อมด้วยกลไกจัดการอำนาจที่ควบคุมให้เป็นเอกภาพได้

Advertisement

ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนดูจะไม่มีน้ำหนัก หรือพลังพอที่ผู้กุมอำนาจจะต้องกังวล

ยิ่งในสภาวะที่ประชาชนแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และสามารถปราบปรามฝ่ายที่แสดงท่าทีเป็นปรปักษ์ได้อย่างราบคาบ

พลังของประชาชนไม่มีความหมายอะไรนัก

Advertisement

ที่บอกว่าคนที่ผ่านการสังเกตความเป็นไปของการเมืองมาระยะหนึ่งย่อมรับรู้ถึงสัญญาณความเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ใช่สัญญาณที่มาจากประชาชน

และแน่นอนไม่ใช่สัญญาณที่มาจากฝ่ายค้านในรัฐสภา เนื่องจากโครงสร้างอำนาจที่วางไว้ให้ผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมีความอ่อนแอ ไม่สามารถผลักพลังกันได้ ทำให้ไม่ว่าจะแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวอันชวนให้น่าประหวั่นพรั่นพรึงในความเป็นไปของประเทศ และประชาชนสักแค่ไหนก็ตาม ฝ่ายค้านก็ไม่สามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรได้

เช่นเดียวกับกลไกอย่างอื่น ที่ไม่มีพลังพอ

ดังนั้นแท้จริงแล้ว สัญญาณแห่งความเปลี่ยนแปลงส่งมาจากฟากที่เคยเป็นฐานให้ผู้มีอำนาจเอง

หนึ่ง ความเคลื่อนไหวของมวลชนต่อต้านรัฐบาลที่คึกคักที่สุดช่วงนี้ ไม่ใช่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล แต่เป็นฝ่ายนี่เคยให้การสนับสนุน เป็นฐานค้ำจุนให้ ที่ถึงวันนี้มีการแสดงออกชัดเจนว่าไม่เอาด้วยกับรัฐบาลชุดนี้แล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงการต้องมองผ่านไปถึงกลุ่มอีลิตของประเทศว่าอยู่เบื้องหลังพลังต่อต้านนี้อย่างที่เล่าลือกันหรือไม่

และจะว่าไปสัญญาณที่น่าสนใจอย่างหนึ่งเป็นจาก “นพ.ประเวศ วะสี” ที่เคยเคลื่อนไหวในนาม “ราษฎรอาวุโส” อันโด่งดังและมีพลังกำหนดทิศทางความเปลี่ยนแปลงในอดีตต่อเนื่องมาแทบทุกครั้ง

หลังจาก “รัฐประหารสำเร็จ” และคณะทหารขึ้นกุมอำนาจ “หมอประเวศ” หยุดแสดงบทบาทมายาวนาน

มาวันนี้ “หมอประเวศ” ออกมาแล้ว ด้วยมุมมองที่ชี้ให้เห็นว่า “ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤต และการเมืองในปัจจุบันไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะนำชาติฝ่าออกจากวิกฤตได้”

โดยนำเสนอว่า “วิธีหนึ่ง ถ้านาวาประยุทธ์ล่ม คือ ตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล โดยรัฐสภา ด้วยการปรึกษาหารือกับภาคสังคม สรรหาและลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีปัญญาบารมี เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และให้อิสระแก่นายกรัฐมนตรีในการสรรหาคนที่ดีที่สุด เก่งที่สุด มาร่วมบริหารประเทศ โดยไม่ใช้ระบบโควต้าของกลุ่มการเมือง”

“ระบบโควต้าของกลุ่มการเมืองที่จะได้ตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นระบบที่ไร้ศีลธรรม นำไปสู่ความเสื่อมเสียนานาประการ” หมอประเวศชี้ให้เห็น และว่า ควรจะเป็นสิทธิของประเทศที่จะได้คนที่ดีที่สุดเก่งที่สุด มาเป็นรัฐมนตรี ไม่ใช่สิทธิของกลุ่มก๊วนใดๆ ระบบสิทธิของกลุ่มก๊วนในการได้โควต้ารัฐมนตรี ควรจะยกเลิกไปตลอดกาล

และในบทความชิ้นนี้เสนอ รัฐบาลเฉพาะกาลสมรรถนะสูง สามารถดึงทุกภาคส่วนของสังคม เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้วิกฤตชาติ นี่คือกระบวนการที่เรียกว่า “เปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง”

เนื่องจาก “ระบบอำนาจนั้น ปิดพื้นที่ทางสังคม และพื้นที่ทางปัญญา ทำให้ชาติไม่มีพลัง ออกจากสภาวะวิกฤตไม่ได้”

พร้อมกับตั้งคำถามที่แทบจะชัดเจนในคำตอบว่า “พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนประเภทปิดหรือเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญา”

ขณะที่การแสดงออกซึ่งท่าทีคล้ายเดินกันคนละทาง สร้างดาวคนละดวงของพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่ความระหองระแหงของคนในพรรคพลังประชารัฐเอง

ดังนั้น แม้สัญญาณแห่งความเปลี่ยนแปลงจะไม่ได้เกิดด้วยพลังของกระแสประชาชน

แต่ความสามารถของรัฐบาลที่ทำให้ความเป็นไปของประเทศมีแนวโน้มเสื่อมทรุดลงไปเรื่อย ท่ามกลางความโกลาหลในนโยบายและคำสั่งให้ปฏิบัติที่ไปทางโน้นทีทางนี้ที เหมือนอ่านสถานการณ์วันข้างหน้าไม่ออก

เป็นต้นเหตุของสัญญาณที่สัมผัสได้

สัญญาณที่เกิดจาก “เนื้อในตน” ของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image