สุจิตต์ วงษ์เทศ : เหลือแห่งเดียวในไทย ชุมชนเรือนไม้ป้อมมหากาฬ ถ้าไม่รักษา ประวัติศาสตร์ไทยก็ไม่มีสังคม

เศษซากเครื่องเรือนของชาวบ้านชุมชนป้อมมหากาฬถูกรื้อระเนระนาด

ป้อมมหากาฬมีชุมชนป้อมมหากาฬ ทั้งหมดรวมกันเป็นโบราณสถานซึ่งเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดียุคกรุงรัตนโกสินทร์ ใน 2 ลักษณะ คือ

ป้อมมหากาฬ และกำแพงเมือง เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดี ก่อด้วยอิฐ

ชุมชนป้อมมหากาฬ เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดี สร้างด้วยไม้ เหลือแห่งเดียวในไทย ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว

การต่อสู้เรียกร้องยืดเยื้อยาวนาน ก็เพื่ออนุรักษ์หลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดี ชุมชนบ้านเรือนสร้างด้วยไม้บริเวณชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร

บ้านเรือนไม้ถ้าปล่อยไว้โดดๆ ก็โทรมจนเพพังลงได้ ต้องมีชีวิตและลมหายใจของผู้คนเป็นชุมชน บ้านเรือนไม้ถึงจะมีลมหายใจเป็นมิวเซียมมีชีวิต

ADVERTISMENT

ชานกำแพงพระนครเหลือแห่งเดียว

พื้นที่ตั้งแต่ตัวป้อมมหากาฬกับกำแพงเมือง จนถึงคลองโอ่งอ่าง ถือเป็นเขตโบราณสถาน (เรียก ชานกำแพงพระนคร หรือเรียกสั้นๆ ว่า ชานพระนคร)

ชุมชนเรือนไม้ชานกำแพงพระนคร ที่ป้อมมหากาฬ กรุงเทพฯ เหลือแห่งเดียวในไทย เพราะที่อยุธยาถูกทำลายหายเหี้ยนหมดนานมากแล้ว

มีชุมชนบ้านเรือนสืบเนื่องเรื่อยมาตั้งแต่แรกสร้างป้อมมหากาฬและกำแพง เพราะเป็นชุมทางคมนาคมบริเวณสามแยกระหว่างคลองโอ่งอ่าง กับคลองมหานาค (ที่ยาวออกไปเป็นคลองแสนแสบ)

สมัย ร.5 ราว พ.ศ. 2440 มีวิกลิเกพระยาเพชรปาณี ต้นกำเนิดลิเกรำ สืบถึงทุกวันนี้

หลังจากนั้นมีกิจกรรมทำมาหากินต่างๆ นานาสืบเนื่องมา โดยมีผู้คนเข้าออกเปลี่ยนไปมาเป็นปกติจนปัจจุบัน

เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์สังคมที่สำคัญมากๆ ทั้งลักษณะบ้านเรือนที่ปลูกคาบเกี่ยวเกยกัน กับลักษณะชีวิตสามัญชนชาวบ้านระดับรากหญ้าชั้นล่างสุด ซึ่งในไทยไม่เคยเก็บรักษามาก่อน

เพราะไทยให้ความสำคัญวีรบุรุษสงคราม จึงมีแต่ประวัติศาสตร์สงคราม แล้วอคติประวัติศาสตร์สังคมที่มีสามัญชนคนธรรมดารวมอยู่ด้วย

คนชั้นนำผู้มีอำนาจและสื่อมวลชนก็ถูกครอบงำหล่อหลอมให้เลื่อมใสประวัติศาสตร์สงครามของวีรบุรุษ จึงเหยียดๆ ประวัติศาสตร์สังคมของสามัญชน

หนังไทยและละครโทรทัศน์มีแต่ไพร่ในบ้านเจ้านาย โดยไม่เคยมีภาพเสมือนจริงของชุมชนคนชั้นล่างสุดในประวัติศาสตร์ เพราะไม่เคยพบในตำราของทางการ

 

ศึกป้อมมหากาฬ

ศึกป้อมมหากาฬ มีต้นเหตุเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว จากอำนาจรัฐเผด็จการประกาศแผนแม่บทอนุรักษ์และพัฒนาเกาะกรุงรัตนโกสินทร์

เพื่อรักษาซากโบราณสถานประเภทวังเก่า, วัดหลวง, อาคารสถานที่ราชการเก่าแก่ ฯลฯ ที่มีสืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคกรุงธนบุรีกับยุคกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วพัฒนาปรับปรุงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม

โดยห้ามก่อสร้างอาคารสมัยใหม่บดบัง หรือเบียดเบียน ขณะเดียวกันก็ไล่รื้อโรงร้านบ้านเรือนราษฎรที่รกรุงรัง ซึ่งหมายถึงไล่คนทั่วไปออกจากพื้นที่เกาะกรุงด้วย เพื่อเอาพื้นที่นั้นทำสวนสาธารณะ

สังคมอำนาจนิยมสุดลิ่มทิ่มประตูขณะนั้น (จนถึงขณะนี้) อ้างตัวบทกฎหมายตามลายลักษณ์อักษรที่เอาเปรียบและเบียดเบียนสามัญชนชาวบ้าน โดยมีข้าราชการเป็นนายเหนือหัว จึงไม่เปิดช่องให้ชาวบ้านแสดงความคิดและเสนอความเห็น มีแต่ปิดปากชาวบ้านพร้อมข่มขู่ขับไล่ และไฟเผา

 

ค้านแผนแม่บทฯ

นักวิชาการด้านต่างๆ พากันคัดค้านตั้งแต่แรกมีแผนแม่บทฯ ซึ่งมีแนวคิดอนุรักษ์โบราณสถานโดยไล่คนและชุมชน จะส่งผลให้เป็นซากเมืองร้าง ไร้จิตวิญญาณ และไม่น่าเที่ยว

โดยเฉพาะบริเวณชุมชนป้อมมหากาฬมีข้อเสนอแนะว่าควรจัดระเบียบและบริหารจัดการด้วยแนวคิดให้คนกับโบราณสถานอยู่ร่วมกันได้ตามกฎกติกาที่ร่วมกันสร้างขึ้นอย่างเกื้อกูลและกลมกลืน

ขณะเดียวกันก็ทำเป็นลักษณะมิวเซียมกลางแจ้ง หรือมิวเซียมมีชีวิต เป็นกิจกรรมแบ่งปันความรู้สู่สาธารณะอย่างเป็นธรรมชาติและธรรมดา (ซึ่งมีมากในต่างประเทศ)

อยุธยา, เชียงใหม่, สุพรรณบุรี, เพชรบุรี, ฯลฯ รวมถึงกรุงธนบุรี, กรุงเทพฯ ก็ล้วนมีคนอยู่ร่วมกับโบราณสถาน

สถาบันนานาชาติร่วมทั้งหน่วยงานในองค์กรนานาชาติต่างสนับสนุนแนวคิดอย่างนี้

ระยะหลังๆ กรรมการเกาะกรุงฯ ส่วนหนึ่งซึ่งมีไม่น้อย ต่างยอมรับว่าแผนแม่บทฯ ต้องแก้ไข เพราะขัดความจริง และสร้างปัญหามากให้สังคม

 

กทม. เห็นด้วย

ผู้บริหารระดับสูงคนก่อนของกรุงเทพมหานคร (กทม.) สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เห็นด้วยกับข้อเสนอของชุมชนและนักวิชาการที่ป็นแนวคิดใหม่ จึงสนับสนุนงบประมาณทำวิจัยไปสู่การปฏิบัติ

นักวิชาการรวมกลุ่มทำวิจัยร่วมกับชุมชน เสร็จแล้วเสนอเป็นเล่มโต รอประชุมหารือรายละเอียดแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ เพื่อปฏิบัติ

ชายชราชาวป้อมมหากาฬยืนมองบ้านของเพื่อนบ้านขณะถูกรื้อถอน
ชายชราชาวป้อมมหากาฬยืนมองบ้านของเพื่อนบ้านขณะถูกรื้อถอน

กทม. เปลี่ยนใจ

ต่อมา กทม. เปลี่ยนตัวผู้บริหารระดับสูง ทำให้ข้อตกลงระหว่าง กทม. กับชุมชนป้อมมหากาฬ-นักวิชาการ ถูกยกเลิกไม่ทำตามนั้น แล้วมีการข่มขู่คุกคามชาวบ้านหนักข้อขึ้น

ชุมชนป้อมมหากาฬต้องป้องกันตัวเองตามวิถีบ้านๆ ให้พ้นจากการคุกคามรุนแรงนั้น แต่ถูกให้ร้ายจาก กทม. ว่าก้าวร้าวรุนแรง ทั้งๆ เจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายเริ่ม

นักวิชาการกับชุมชนป้อมมหากาฬ พยามยามอธิบายต่อรองด้วยเหตุผลต่างๆ นานา

แต่ผู้บริหาร กทม. ไม่ฟัง อ้างแต่กฎหมายซึ่งฝ่ายกฎหมายของรัฐแนะว่าแก้ไขกฎหมายเกี่ยวข้องได้ แต่ กทม. ไม่ขอแก้

กทม. ลงมือไล่รื้อ เริ่มด้วยลงโฆษณาผ่านสื่อมวลชนด้วยข้อมูลบิดเบือน ขณะเดียวกันส่วนตัวผู้บริหารบริภาษด้วยถ้อยคำก้าวร้าวข่มขู่รุนแรง

เจ้าหน้าที่สำนักการโยธา กทม. ขนสังกะสีจากการรื้อบ้านในชุมชนป้อมมหากาฬมากองรวมกัน โดยมีชาวบ้านและสื่อมวลชนมุงสังเกตการณ์อย่างแน่นขนัด
เจ้าหน้าที่สำนักการโยธา กทม. ขนสังกะสีจากการรื้อบ้านในชุมชนป้อมมหากาฬมากองรวมกัน โดยมีชาวบ้านและสื่อมวลชนมุงสังเกตการณ์อย่างแน่นขนัด
เจ้าหน้าที่เดินบนซากปรักหักพังหลังการรื้อถอนบ้านในชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร
เจ้าหน้าที่เดินบนซากปรักหักพังหลังการรื้อถอนบ้านในชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร