สุจิตต์ วงษ์เทศ: ในชุมชนป้อมมหากาฬและบ้านไม้ มีประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ไม่ใช่เพิ่งสร้าง อย่างที่ถูกกล่าวหาจากอำนาจรัฐเผด็จการ

ย่านบันเทิงยุค ร.5 ของคนธรรมดาหลากหลายชาติพันธุ์ หน้าวิกลิเกแห่งแรกของพระยาเพชรปาณี เป็นต้นกำเนิดลิเกรำในกรุงสยามสืบถึงปัจจุบัน แสดงว่าเป็นย่านใหญ่ มีคนจำนวนมากอยู่อาศัยและไปมาหาสู่บริเวณชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร (ภาพเก่าจากโปสการ์ดของ สินชัย เลิศโกวิทย์)

คนในชุมชนป้อมมหากาฬเกือบทั้งหมดตั้งแต่ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นคนชั้นรากหญ้า มีคนเก่าออกไป คนใหม่เข้ามาไม่ขาดสาย ไม่เคยร้างจากชุมชน

ต่างเป็นเครือญาติกันบ้าง ไม่ใช่บ้าง แต่มาเกี่ยวดองทีหลังมีถมถานไป ชุมชนไหนๆ ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ทุกวันนี้ก็มีเต็มหมดตลอดถึงชุมชนลาว, เขมร, พม่า ทั้งในกรุงเทพฯ และท้องถิ่นต่างๆ

จะเทียบชุมชนไฮโซคนผู้ดีชั้นสูงกับเซเลบคนชั้นกลางมีทะเบียนวงศ์ตระกูล เหมือนบ้านทรายทองไม่ได้ มันคนละโลก คนละชาติ คนละภพ

 

ไม่ได้บุกรุกที่ราชการ

ADVERTISMENT
  1. บรรพชนทางวัฒนธรรมของคนในชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร สืบเนื่องมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อนมี กทม.

[เช่นเดียวกับบรรพชนคนไทยที่เม้าธ์และโม้ว่าสืบมาแต่กรุงศรีอยุธยา, กรุงสุโขทัย, ล้านนา, ล้านช้าง, นครศรีธรรมราช, ปัตตานี ฯลฯ]

ชุมชนฯ จึงไม่ได้บุกรุกที่ราชการตามที่มีผู้พยายามจะให้เป็นอย่างนั้น

  1. ต่อมารัฐบาลมีแผ่นแม่บทเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ คนชุมชนป้อมมหากาฬไม่ได้ขัดขืนต่อสู้ แต่ขอต่อรองเจรจาหารือ ทำสิ่งที่ดีกว่า เหมาะสมกว่า

สมัยหนึ่งผู้บริหาร กทม. เคยเห็นด้วยแล้วยอมรับกับที่ชาวชุมชนป้อมฯ กับนักวิชาการ เสนอแผนพัฒนาปรับปรุงเป็นมิวเซียมบ้านไม้

แต่ผู้บริหาร กทม. สมัยปัจจุบัน เปลี่ยนไปเอง โดยคุกคามใช้ความรุนแรงไล่รื้อ แล้วบิดเบือนเพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ใหม่หลอกสังคม

ชุมชนไม่ได้แสดงความก้าวร้าว แต่อดทนอดดกลั้นและป้องกันตัวเองจากความก้าวร้าวของผู้บริหาร กทม.

 

บ้านไม้เรือนไม้

เรือนไม้บ้านไม้ในชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร ที่ควรดูแลรักษาเป็น    มิวเซียมมีชีวิต เพราะมีประวัติศาสตร์ มีความทรงจำล้ำลึกหลากหลายและยาวนานเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ “ชานกำแพงพระนคร” ที่ไม่เหลืออีกแล้วในไทย

สิ่งนี้ไม่เคยพบที่เมืองสุโขทัย แม้เคยมีที่พระนครศรีอยุธยา แต่ถูกทำลายหมดแล้ว อาจมีที่กรุงธนบุรี ก็ถูกทำลายหมดเหมือนกัน

จึงต่างจากเรือนบ้านไม้ในชุมชนสร้างใหม่ที่พบทั่วๆ ไปในกรุงเทพฯ

นอกจากนั้นความทรงจำต่างจาก “ตลาด 100 ปี” ที่เป็นจุดขายการท่องเที่ยวทุกวันนี้เกือบทั้งหมดมีเรือนไม้ แล้วบางส่วนเป็นก่ออิฐถือปูน

ส่วนที่มีค่าเพราะตลาดนั้นๆ ต่างมีประวัติศาสตร์ที่คนในชุมชนมีความทรงจำต่างๆ กัน ทำนองเดียวกับบ้านไม้ชุมชนป้อมมหากาฬ

 

ทบทวน

มีผู้ข้องใจหลายเรื่องเกี่ยวกับชุมชนป้อมมหากาฬ ผมเคยเขียนหลายครั้งจนเกิดอาการ “หน่ายคัมภีร์” ขอยกข้อเขียนเก่าๆ ที่เคยบอกเล่าไว้แล้วมาบอกซ้ำ ดังนี้

กำเนิดลิเก01

กำเนิดลิเก02

ผู้บริหารระดับสูงของ กทม. เมื่อ พ.ศ. 2549 ทำโครงการกรุงเทพฯ ศึกษา แล้วตกปากรับคำทำตามแผนปรับปรุงชุมชนป้อมมหากาฬเป็นมิวเซียมบ้านไม้และวิกลิเก ตามที่ชาวชุมชนกับนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยศิลปากรร่วมกันนำเสนอ

คราวนั้นผมเป็นผู้สื่อข่าวสังเกตการณ์ แล้วยังยินดีทำตามที่ กทม. ขอมา คือเรียบเรียงเอกสารประวัติศาสตร์เล่าเรื่องลิเกกับป้อมมหากาฬอย่างง่ายๆ ให้ กทม. พิมพ์แจกในงานลอยกระทง มีเล่นลิเกที่ลานป้อมมหากาฬ

ประวัติศาสตร์เพิ่งสร้าง

เพื่อไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ

ชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร กรุงรัตนโกสินทร์ (ตรงสะพานผ่านฟ้า ถนนราชดำเนินกลาง เชื่อมถนนมหาไชย) ถูกตั้งข้อพิศวงสงสัยว่า ชุมชนป้อมมหากาฬ ประวัติศาสตร์ยาวนาน หรือเพิ่งสร้าง?

  1. ชุมชนป้อมมหากาฬ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน อยู่ชานกำแพงพระนคร ก่อนสมัย ร.5 โดยมีรูปถ่ายเก่าหน้าวิกลิเกพระยาเพชรปาณี เป็นพยานว่าลิเกมีกำเนิดบริเวณป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร แล้วปิดวิกเก็บค่าดูครั้งแรกในสยามประเทศ

แต่น่าจะมีชุมชนก่อนนั้นนานแล้วอย่างน้อยตั้งแต่ ร.3 เป็นหลักแหล่งรากหญ้าของ         ข้าพระเลกวัดโยมสงฆ์

นับแต่นั้นก็มีคนโยกย้ายเข้าไปอยู่สืบเนื่องยาวนานไม่ขาดสายจนปัจจุบัน ล้วนเป็นสามัญชนชาวบ้านมีอาชีพหลากหลาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องราวของครอบครัว หรือบุคคล แต่เป็นชื่อที่รับรู้ทั่วไปเป็นสาธารณะว่าประกอบด้วยพื้นที่ชุมชนบริเวณรอบนอกป้อมมหากาฬ และตรอกพระยาเพชร นอกกำแพงเมือง

  1. ประวัติศาสตร์เพิ่งสร้างของชุมชนป้อมมหากาฬ ถ้ามีจริงก็ไม่ได้สร้างโดยคนในชุมชนป้อมมหากาฬ แต่เพิ่งสร้างอย่างเสกสรรปั้นแต่งขึ้นโดยคณะทำงานของผู้มีอำนาจของ กทม. (กรุงเทพมหานคร) เพื่อทำให้ชุมชนแตกแยกกระจัดกระจายเป็นครอบครัว เป็นบุคคล แล้วกล่าวร้ายป้ายสีชุมชน

ทั้งนี้ จะได้ใช้เป็นข้ออ้างไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร กรุงรัตนโกสินทร์ ที่หลงเหลือเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์สังคมแห่งเดียวในกรุงเทพฯ แล้วเอาที่ดินทำอย่างอื่นที่ไม่น่าศรัทธา

ประวัติศาสตร์เพิ่งสร้าง เป็นงานถนัดของทางการ “แห่งชาติ” มีประจักษ์พยานสำคัญ ได้แก่ ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย ซึ่งเป็นนิยายเพิ่งสร้างอย่างมีศักยภาพครอบงำและหล่อหลอมสังคม (รวมทั้งสื่อมวลชน) ให้เคลิ้มแล้วคล้อยตามจนพากันเชื่อถืออย่างงมงาย ใช้ทำลายประวัติศาสตร์สังคมและทำลายชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ

ชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร ตั้งแต่ก่อน ร.4 มีในภาพถ่ายเก่าจากภูเขาทอง สมัยปลาย ร.4 ต้น ร.5 (ซ้าย) เห็นป้อมมหากาฬ (กลาง) สะพานไม้ คือจุดที่สร้างสะพานผ่านฟ้าลีลาศ
ชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร ตั้งแต่ก่อน ร.4 มีในภาพถ่ายเก่าจากภูเขาทอง สมัยปลาย ร.4 ต้น ร.5 (ซ้าย) เห็นป้อมมหากาฬ (กลาง) สะพานไม้ คือจุดที่สร้างสะพานผ่านฟ้าลีลาศ

ชุมชนป้อมมหากาฬ

มีชื่อในประวัติศาสตร์สังคมของไทย

ชุมชนเก่าสุดของกรุงเทพฯ มีแล้วตั้งแต่ยุคอยุธยา ราว พ.ศ. 2000 (มากกว่า 500-600 ปีมาแล้ว) ตั้งกระจัดกระจายอยู่ริมแม่น้ำ มี 2 แห่ง ได้แก่ ย่านคลองเตย กับย่านคลองบางกอกใหญ่

ย่านคลองเตย (ปัจจุบันคือท่าเรือกรุงเทพฯ) เคยเป็นเมืองพระประแดงยุคแรกสุด  มีชื่อในพงศาวดารก่อนย้ายไปอยู่สมุทรปราการ

ทุกวันนี้เรียกกันทั่วไปว่า ท่าเรือคลองเตย ซึ่งเป็นชื่อใหม่ไม่มีในบันทึกประวัติศาสตร์

ย่านคลองบางกอกใหญ่ (ปัจจุบันเป็นกองบัญชาการกองทัพเรือ) เป็นที่ตั้งเมืองบางกอก ต่อมาได้ชื่อทางการว่าเมืองธนบุรี

ทุกวันนี้เรียกกันทั่วไปว่า กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นชื่อใหม่กร่อนจากชื่อยาวๆ ไม่มีในพงศาวดาร

ป้อมสำคัญสุดของกรุงเทพฯ ด้านตะวันออก คือ ป้อมมหากาฬ ใช้ควบคุมทางสามแยกคลองโอ่งอ่าง สบคลองมหานาค ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมไปทางทิศตะวันออก (เชื่อมโยงถึงกัมพูชา, เวียดนาม) ร.1 เสด็จตรวจขณะสร้างป้อมมหากาฬ มีบอกไว้ในพระราชพงศาวดาร

ชุมชนป้อมมหากาฬ มีชื่อในประวัติศาสตร์สังคมของไทย เป็นชุมชนชานกำแพงพระนคร มีความเป็นมาเก่าสุด เหลือแห่งเดียวของกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นย่านกำเนิดลิเกครั้งแรกในสยาม สมัย ร.5 เดิมชื่อตรอกพระยาเพชร มีภาพเก่าเป็นพยาน

แต่ถูกทางการบิดเบือนกล่าวร้ายป้ายสี แล้วแต่งใหม่เป็น “ประวัติศาสตร์เพิ่งสร้าง” ยัดเยียดให้ชุมชนป้อมมหากาฬว่าไม่มีชื่อในพงศาวดารหรือเอกสาร เพื่อใช้เป็นข้ออ้างไล่รื้อให้สิ้นซากจากชุมชนมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ยาวนานของกรุงรัตนโกสินทร์

จะทำร้ายกันทำไม? ไหนว่าเป็นคนดี?

234 ปี กรุงรัตนโกสินทร์จะมีคุณค่ามหาศาล ถ้าร่วมกันดูแลรักษาอย่างสร้างสรรค์      มิวเซียมมีชีวิต ชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร

(ซ้ายล่าง) ชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร สมัยแรกมีแนวถนนราชดำเนิน และสะพานผ่านฟ้า ยุค ร.5
(ซ้ายล่าง) ชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร สมัยแรกมีแนวถนนราชดำเนิน และสะพานผ่านฟ้า ยุค ร.5

อย่าทำลายป้อมกรุงเทพฯ

เหมือนทำลายป้อมกรุงศรีอยุธยา

  ชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร สะท้อนความจริงของประวัติศาสตร์สังคม ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย

ประวัติศาสตร์ไทย คือเรื่องราวความเป็นมาของการโยกย้ายถ่ายเทผู้คน ไปๆ มาๆ ทุกทิศทาง ระหว่างลุ่มน้ำในภาคพื้นทวีป จากลุ่มน้ำหนึ่งไปอีกลุ่มน้ำหนึ่ง

ก่อนมีกรุงรัตนโกสินทร์บริเวณแม่น้ำลำคลองย่านบางกอกตั้งแต่ยุคต้นอยุธยา มีคนตั้งหลักแหล่งกับโยกย้ายหลายเผ่าพันธุ์ไปๆ มาๆ เพิ่มเติมหายุติมิได้ว่าพวกไหนเป็นพวกไหน

ยุคสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ ก็เกณฑ์คนจากที่ต่างๆ เข้ามาเป็นแรงงานก่อสร้างบ้านเมือง แล้วตั้งหลักแหล่งกลายเป็นประชากร เช่น แขกครัวเขมรจาม, ครัวลาวสองฝั่งโขง ฯลฯ

หลังสร้างกรุงเทพฯ ยิ่งกวาดต้อนคนหลายเผ่าพันธุ์เข้ามาเพิ่มเติมเป็นชุมชนต่างๆ กระจัดกระจายทั้งอยู่ในเมือง (เช่น ป้อมมหากาฬ), และอยู่นอกเมือง (เช่น นางเลิ้ง, ตลาดพลู, บางกะปิ ฯลฯ)

ชุมชนชาติภาษาและศาสนาต่างจากคนส่วนมาก จะรวมตัวกันแข็งแรงเหนียวแน่น เพื่อป้องกันการคุกคามจากคนกลุ่มอื่นที่มีมากกว่า

ชุมชนโดยทั่วไปที่เป็นชาติภาษาและศาสนาอย่างเดียวกับคนส่วนใหญ่ จะรวมกันอยู่อย่างหลวมๆ มีการย้ายเข้าย้ายออกเป็นปกติ มีคนหลายรุ่นปะปนกันเป็นธรรมดาของชุมชนในโลก

ชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร สมัย ร.5 มีขุนนางผู้ใหญ่ตั้งบ้านเรือน มีบ่าวไพร่บริวารทำละครทำปี่พาทย์ เป็นย่านมหรสพมีคนนิยมชมชอบมากมาย เจ้านายชั้นสูงอย่างสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็เสด็จทอดพระเนตร

หลังจากมหรสพอย่างใหม่เข้ามาแพร่หลาย (คือ ภาพยนตร์) ลิเกต้องร่อนเร่ ชุมชนก็ร่วงโรย คนใหม่ย้ายเข้า คนเก่าย้ายออก ต่างเปลี่ยนอาชีพเป็นอย่างอื่นเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ครองกลุ่มชุมชนไม่ขาดสาย

นี่เป็นประวัติศาสตร์ของจริง ไม่ใช่ของเพิ่งสร้างอย่างที่ข้าราชการบางคนของ กทม. พยายามทำ เพื่อกำจัดชุมชนชานกำแพงพระนครแห่งสุดท้ายของไทย

ไทยชอบอวดอ้างประวัติศาสตร์ แล้วชอบทำลายสถานที่สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน ยังมีพยานที่อยุธยาถูกไทยทำลายเหี้ยนเตียน

ป้อมมหาไชยที่อยุธยา ถูกทหารอังวะระเบิดเป็นช่องทางเข้ายึดกรุงเท่านั้น ไม่ได้เผาทำลายหมด แต่ที่ทำลายสูญหายหมดป้อมมหาไชยเป็นฝีมือไทยต้องการทำตลาดสดหารายได้

กรุงเทพฯ มีป้อมมหากาฬ แล้วมีชุมชนชานกำแพงพระนคร อยู่ด้วยกัน เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ควรทำลายเหมือนที่ได้ร่วมกันทำให้หายไปแล้วจากอยุธยา