สุจิตต์ วงษ์เทศ : ฟังดนตรีดีๆ ก็ดีถมไป ไม่จำเป็นต้องเล่นได้ทุกคน

สุจิตต์ วงษ์เทศ-แฟ้มภาพ

สำนึกรักดนตรีไทย ผมไม่เคยมีมาแต่แรก แต่หัดเล่นดนตรีไทย เพราะอยากเท่เป็นเบื้องต้น แล้วอยากทำเป็นเบื้องปลายใช้เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีว่าคนไทยอยู่ที่นี่

อยากเท่

ตอนนั้นเรือน พ.ศ. 2500 เรียนมัธยมต้น โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ ริมคลองผดุงกรุงเกษม เชิงสะพานมัฆวาน หลังศาลาสันติธรรม
ครูประกาศรับสมัครนักเรียนฝึกลูกเสือดุริยางค์เป่าขลุ่ย เชิญพวงมาลาไปถวายบังคมพระรูปทรงม้า วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม ของทุกปี
ขณะนั้นเป็นโรงเรียนยากจน ไม่มีเครื่องดนตรีแบบโยธวาทิตเหมือนโรงเรียนอื่นๆ ที่มั่งมี ครูดนตรีมีความคิดทำวงขลุ่ย โดยให้นักเรียนที่สมัครใจต้องไปซื้อขลุ่ยมาเอง ราคาเลาละ 5 บาท จากร้านดุริยบรรณ สี่แยกคอกวัว ฝั่งตรงข้ามหัวถนนข้าวสาร
[คราวนั้นผมไปซื้อขลุ่ยที่ร้านดุริยบรรณ แล้วพบครูต่อ โองการ กลีบชื่น หลังจากนั้นหาขันกำนลไปยกครูเป็นศิษย์เรียนซอที่บ้านครูอยู่หลังวัดสังเวช แต่ไม่สำเร็จ สันดานผมหยาบเกินไปรับไม่ไหว]
เริ่มต้นหัดเพลงในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีกลองนำหน้า 5 ใบ มีขลุ่ยตามหลัง 50 เลา ผมเป่าแถวท้ายสุดเท่มาก เท่โคตรๆ
พอเรียนจบ ม.6 ก็เลิก แล้วไปเรียนต่อ ม.7 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ จนสอบตก
อยากทำ ตอนนั้นเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แล้วตรวจสอบประวัติดนตรีไทยเพื่อใช้เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดี สนับสนุนว่าคนไทยอยู่ที่นี่ ไม่ได้อพยพหลบหนีถอนรากถอนโคนมาจากอัลไต, น่านเจ้า โดยอ้างเครื่องดนตรีสำริด เช่น มโหระทึก มีพัฒนาการเป็นฆ้อง เช่น ฆ้องวง ฯลฯ ซึ่งไม่มีในจีนและอินเดีย
โดยผมเล่นดนตรีปี่พาทย์ตะโพนเพลงพวกนี้ไม่เป็นเลยสักอย่างเดียว ได้แต่เรียนหนังสือไป หนีเรียนไป สอบตกไป
สรุปแล้วผมไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความเป็นไทย และดนตรีไทย จะเกี่ยวอยู่บ้างก็ด้วยความเคารพในคุณค่าของดนตรีอุษาคเนย์และดนตรีโลก

พระอภัยมณีเป่าปี่อุษาคเนย์ หุ่นขี้ผึ้งตัวละครเรื่องพระอภัยมณี พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย  จ.นครปฐม
พระอภัยมณีเป่าปี่อุษาคเนย์ หุ่นขี้ผึ้งตัวละครเรื่องพระอภัยมณี พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จ.นครปฐม

ดนตรีมีปัญญา

ดนตรีในประเทศก้าวหน้าทางสากล เป็นสัญลักษณ์ของสติปัญญาวิชาความรู้ จึงได้รับยกย่องอย่างสูง แล้วสั่งสมประสบการณ์ฟังเพลงดนตรีให้สังคมส่วนรวม ไม่ใช่ควบคุมบังคับให้เด็กทุกคนเล่นดนตรี
ดนตรีมีพลังผลักดันให้คนฟังมีความคิดสร้างสรรค์ มีสติปัญญาวิชาความรู้ ไม่ใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหา เป็นแนวคิดสังคมตะวันตกที่แพร่หลายเข้ามาในสยามตั้งแต่ยุคก่อนกรุงรัตนโกสินทร์
สุนทรภู่ รับแนวคิดนี้มาสร้างสรรค์ให้พระอภัยมณีเรียนวิชาเป่าปี่ ในนิทานกลอนเรื่องพระอภัยมณี แล้วแต่งให้พระอภัยมณีพรรณนาคุณค่าของดนตรีแก่พราหมณ์น้อยที่สงสัย ไต่ถามเรื่องดนตรี ดังนี้

พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม       จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป       ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช        จตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์
แม้นปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน      ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา

ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ     อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญาณ์     จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง
แล้วหยิบปี่ที่ท่านอาจารย์ให้     เข้าพิงพฤกษาไทรดังใจหวัง
พระเป่าเปิดนิ้วเอกวิเวกดัง     สำเนียงวังเวงแว่วแจ้วจับใจ ฯ
ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย     ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย     จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย
พระจันทรจรสว่างกลางโพยม            ไม่เทียมโฉมนางงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย
แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย            ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน

ADVERTISMENT

แต่ในประสบการณ์ดั้งเดิมของคนในภูมิภาคอุษาคเนย์ ดนตรีเป็นวิชาชั้นต่ำของพวกข้าทาสบ่าวไพร่ ไม่ใช่ของผู้ดี
เป็นทัศนคติของคนชั้นสูงแถบสุวรรณภูมิ (รวมไทยด้วย) ดังสุนทรภู่บันทึกไว้ในนิทานกลอนเรื่องพระอภัยมณี ตอนท้าวสุทัศน์รู้ว่าพระอภัยมณีไปเรียนวิชาดนตรี ก็โกรธมากๆ บอกว่า
อันดนตรีปี่พาทย์ตะโพนเพลง เป็นนักเลงเหล่าโลนเล่นโขนหนัง
แต่พวกกูผู้หญิงที่ในวัง มันก็ยังเรียนรำได้ชำนาญ
[“ผู้หญิงที่ในวัง” หมายถึง นางสนมกำนัล ซึ่งเป็นนางบำเรอหรือข้าทาสบริวารผู้หญิง มีหน้าที่อย่างหนึ่งคือเล่นดนตรีขับกล่อมบำเรอตามประเพณีมีมาแต่โบราณ หลักฐานเก่าสุดอยู่ในจารึกสมัยละโว้ (ลพบุรี) นางเทวทาสีต้องเล่นดนตรีฟ้อนเต้นระบำบำเรอมหาเทพในเทวสถาน]

ครูมีแขก (ภาพเขียน) ผมเคยเห็นรูปเก่าครั้งแรกร้านดุริยบรรณ
ครูมีแขก (ภาพเขียน) ผมเคยเห็นรูปเก่าครั้งแรกร้านดุริยบรรณ

ดนตรีประเพณี

ดนตรีประเพณี หรือดนตรีประจำชาติที่พ้นสมัยของประเทศต่างๆ ในโลก มีแนวทางอนุรักษ์หลายวิธี แต่เท่าที่ปฏิบัติเป็นสากล แล้วรับรู้ทั่วไปมีดังนี้
1. เครื่องดนตรี อนุรักษ์โดยเก็บเครื่องดนตรีเข้ามิวเซียม พร้อมจัดแสดงให้เล่นได้ด้วย อย่างเป็นระบบสนุกสนาน พร้อมคำอธิบายง่ายๆ
2. ทำนองเพลงดนตรี อนุรักษ์โดยบันทึกโน้ตและบันทึกภาพกับเสียงแสดงสดเก็บเข้ามิวเซียม หรือห้องสมุดดนตรี เป็นแผ่นเสียง, เทป, ซีดี ฯลฯ ปัจจุบันเก็บในยูทูบ
เครื่องดนตรีและเพลงดนตรี ที่ยังประโคมบรรเลงตามประเพณีเป็นครั้งคราวตามเทศกาล หรือตามแบบแผน แต่พ้นสมัยจากชีวิตประจำวันของคน อย่างนี้รัฐต้องมีหน้าที่อนุรักษ์ไว้ด้วยการบริหารจัดการอย่างดีเยี่ยม โดยจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้นมา
รัฐควรแนะทางเลือกให้ผู้ต้องการเข้าไปศึกษาเล่าเรียนในหน่วยงานที่จัดไว้โดยเฉพาะไม่ใช่ควบคุมบังคับนักเรียนนักศึกษาต้องเรียนและเล่นตามความต้องการของรัฐ แต่เยาวชนไม่ต้องการ
สิ่งที่ควรมีเป็นกิจกรรมมากกว่าการเรียนการสอน คือ ฟังเพลงดนตรีของนานาชาติพันธุ์ในโลก จะเรียกเวิลด์มิวสิค หรือเรียกอย่างอื่นก็ตามใจ (ซึ่งมีเพลงดนตรีไทยรวมด้วย) เพื่อเป็นพลังสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ในอนาคต เช่น เศรษฐกิจสร้างสรรค์

ฟังเพลงดนตรีดีกว่า

เมื่อเดือนก่อนๆ ผมเคยเขียนไว้ในมติชนรายวันว่า รัฐบาลมีโครงการให้เด็กไทยทุกคนเล่นดนตรี 1 อย่าง จะเป็นเครื่องดนตรีไทยหรือสากลก็ได้
สิ่งแรกสุดที่รัฐบาลต้องทำคือบอกให้ชัดเจนก่อนว่าดนตรีไทยหมายถึงอะไร? มีเครื่องดนตรีแบบไหน? ฯลฯ
เพราะเอกสารทางการระบุอย่างคับแคบและกีดกัน ว่า ดนตรีไทย หมายถึง มโหรี, ปี่พาทย์, เครื่องสาย ที่บรรเลงเพลงเถา มีร้องเอื้อน 3 ชั้น, 2 ชั้น, ชั้นเดียว
เท่ากับยกย่องดนตรีภาคกลางเท่านั้นเป็น “ดนตรีไทย” ส่วนภาคอื่น คือ ภาคใต้, ภาคอีสาน, ภาคเหนือ เป็น “ดนตรีพื้นเมือง” เท่ากับดูถูกว่าไม่ไทย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ดนตรีไทย หมายถึงดนตรีในดินแดนประเทศไทย มีทั้งคล้ายคลึงและแตกต่างอยู่ในภาคต่างๆ ได้แก่
ภาคเหนือ มี สะล้อ, ซอ, ซึง, ฯลฯ ภาคอีสาน มี แอ่วลาว, เป่าแคน, กันตรึม, ฯลฯ ภาคใต้ มี ตะลุง, โนรา, ชาตรี, ฯลฯ ภาคกลาง มี มโหรี, ปี่พาทย์, เครื่องสาย, ฯลฯ
เทียบได้กับ คนไทย หมายถึงคนในดินแดนประเทศไทย แม้จะมีรากเหง้าเผ่าพันธุ์เป็นลาว (เหนือ, อีสาน), เขมร (ลุ่มน้ำมูล), มลายู (ใต้) เมื่อมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ก็นับเป็นคนไทยทั้งนั้น
จะเล่นได้ก็ต้องเรียน ถ้าเรียนดนตรีไทยแล้วต้องคุกเข่านั่งพับเพียบ, ต้องยกมือไหว้เครื่องดนตรีทุกครั้งก่อนและหลังเรียน, ต้องเข้าพิธีไหว้ครู ครอบครู ฯลฯ
ผมว่าเลิกเถอะเล่นดนตรีไทย ลดเหลือแค่ให้เด็กไทยรู้จักฟังดนตรีในเวิลด์มิวสิคก็พอ

ควบคุมบังคับเรียนดนตรีไทย

พล.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ที่ประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) เห็นชอบแผนการดำเนินงานวัฒนธรรมของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ปีงบประมาณ 2560 จัดทำเป็นแคมเปญทางวัฒนธรรม
นอกจากนี้ที่ประชุมเห็นชอบแผน วธ. จะให้นักเรียนเล่นดนตรีไทยเป็นอย่างน้อยคนละ 1 อย่างภายใน 5 ปี เพื่อไม่ให้เครื่องดนตรีไทยสูญหาย
ทั้งนี้ สวนดุสิตโพลทำการสำรวจความคิดเห็นผู้ปกครอง และบุคลากรทางการศึกษาที่มีต่อดนตรีไทย พบว่าส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยในเรื่องนี้ ดังนั้นจะได้หารือกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน ทั้งครูผู้สอนและเครื่องดนตรี ก่อนประกาศเป็นนโยบาย ในปีการศึกษา 2560
ด้านสังคมโซเชียลมีเดียได้แสดงความเห็นกรณีที่จะให้นักเรียนเล่นดนตรีไทยเป็นอย่างน้อยคนละ 1 ชนิด ไม่เห็นด้วย เพราะดนตรีไทยไม่ยอมพัฒนาตัวเอง ทั้งรูปแบบการเรียนรู้และเครื่องมือ ในขณะที่ดนตรีหลายๆ แบบมีการพัฒนาตัวเองตลอด ยังไม่รวมอีกว่าเด็กทุกคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเรียนรู้ดนตรี บางคนอาจจะไม่มีเซนส์ด้านนี้เลย เพราะฉะนั้นแล้วไม่ควรเอาไปอยู่ในภาคบังคับการศึกษา
[สยามรัฐ รายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2559 หน้า 14]