ที่มา | คอลัมน์ Future Perfect |
---|---|
ผู้เขียน | ทีปกร วุฒิพิทยามงคล |
เผยแพร่ |
เมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมาแอปเปิล (Apple) จัดงานประกาศการเปิดตัวไอโฟน 7
นับเป็นการเปิดตัวที่แปลกประหลาดอยู่พอสมควรนะครับ ที่สิ่งที่คนตื่นเต้นในงานนี้ไม่ใช่การประกาศ “การเพิ่มเติม” ของใหม่ๆ หรือฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามานัก ฟีเจอร์อย่างเช่นการกันน้ำ หรือการที่ปุ่ม Home จะมีความอัจฉริยะ คือรับรู้ต่อแรงสัมผัสได้มากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนคาดหวังกันอยู่แล้ว และควรจะมีตั้งนานแล้ว แต่สิ่งที่คนตื่นเต้น หรือกระทั่งรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงกับงานเปิดตัวคราวนี้ กลับเป็น “การตัดทอน” ของเดิมๆ ออก
พูดให้ชัดเจนคือ ไอโฟน 7 จะไม่มาพร้อมกับช่องเสียบหูฟังแบบเดิมๆ คือช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5mm อีกต่อไปแล้ว มันจะมาพร้อมกับช่องเสียบช่องเดียวที่ทำหน้าที่ได้หลากหลาย นั่นคือพอร์ต Lightning ที่จะทำหน้าที่ควบ ทั้งเอาไว้เสียบต่อเพื่อรับส่งข้อมูล ใช้เป็นช่องเสียบหูฟัง และช่องชาร์จไฟด้วย ต่อไปนี้หากต้องการฟังเพลงจากไอโฟน ตั้งแต่ไอโฟน 7 เป็นต้นไป คุณจะต้องใช้เฮดโฟนที่สนับสนุนพอร์ต Lightning หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้อแดปเตอร์ เปลี่ยนหูฟัง 3.5mm ให้เป็นพอร์ตไลท์นิ่งแบบใหม่ (มีแถมมาให้) หรือไม่อย่างนั้น ก็ต้องใช้หูฟังไร้สาย ซึ่งในงานเดียวกัน Apple ก็เปิดตัวหูฟัง AirPods ออกมาด้วย
แต่ทั้งหมดนี้ก็คงเป็นสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้ว-ท่ามกลางข่าวสาร Apple ที่ทะลักล้นในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมา
ในงานแถลงข่าว ตอนที่ Apple ประกาศว่าจะตัดพอร์ตหูฟัง 3.5mm ออก เขาใช้คำว่าการตัดพอร์ตหูฟังเก่านี้ออกนั้นต้องใช้ “Courage” หรือ “ความกล้าหาญ” อย่างยิ่ง พอประกาศแบบนี้ คนที่ไม่พอใจกับความเปลี่ยนแปลงก็เอาคำว่า Courage ไปล้อเลียนกันสนุกปาก ว่าแหม ช่างกล้าหาญเหลือเกินนะ มาตัดของที่ทุกๆ คนใช้กันแบบนี้ เพื่อที่จะได้ขายหูฟังแบบใหม่ของตัวเองล่ะสิ บางคนก็รู้สึกไม่พอใจที่หูฟังชั้นดีของตัวเองจะต้องตกยุค ล้าสมัย ใช้ไม่ได้ในไอโฟนรุ่นใหม่ ส่วนคนที่พอใจในทันทีนั้นมีไม่มาก จากการสำรวจคร่าวๆ ในโซเชียลมีเดียของผมเอง
Apple เป็นเจ้าแห่งการลดทอน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Apple ถูกด่าที่ลดทอน ตัดตอนเทคโนโลยีเก่าๆ ออกจากสายการผลิตของตนเอง ที่ผ่านมาในอดีตไม่ไกลนักหลายคนคงยังจำได้ถึงการตัดไดรฟ์ CD ออกจากทั้ง MacBook และ iMac ผมเองก็ยังจำได้ว่าตอนแรกๆ ที่ Apple ตัดไดรฟ์ CD ออกนั้น ตัวเองรู้สึกประหลาดใจและทึ่งกับการตัดสินใจครั้งนี้มาก เพราะตอนนั้นความเร็วอินเตอร์เนตก็ยังไม่ได้ปรู๊ดปร๊าดอย่างทุกวันนี้ การที่ตัดไดรฟ์ซึ่งสามารถบรรจุความจำได้หลายกิ๊กกะไบต์ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ดูเป็นการตัดสินใจที่หักหาญน้ำใจกันอย่างยิ่ง แต่ต่อมาก็อย่างที่เห็นนะครับ, พวกเราส่วนมากก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาไดรฟ์ซีดีที่มากับเครื่องขนาดนั้น เมื่อความเร็วอินเตอร์เน็ตถูกพัฒนาขึ้นจนถึงระดับที่สามารถดูวิดีโอสตรีมมิ่งความคมชัดระดับ HD ผ่านอินเตอร์เนตได้แล้ว ก็ดูคล้ายกับว่าซีดีและดีวีดีเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป
หากจะย้อนไปก่อนหน้านั้นอีก เราจะพบว่า Apple ตัดทอนทุกสิ่งมาโดยตลอด ตั้งแต่การตัดไดรฟ์ฟลอปปี้ดิสก์ออกจากคอมพิวเตอร์ของตน หรือเปลี่ยนการฟังเพลงจาก CD มาเป็นไฟล์ด้วย iPod (กระทั่งกลายเป็น “ไม่ใช่ไฟล์” แต่เป็นการฟัง “ผ่านสตรีมมิ่ง” อย่าง Apple Music) การกักกันไม่ให้ซอฟต์แวร์อื่นๆ ลงเครื่อง Mac ของตนได้โดยง่ายผ่านทางฟีเจอร์ GateKeeper (ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำให้ App Store ในเครื่อง Mac รุ่งเรืองในกาลต่อมา)
ความเคลื่อนไหวทางเทคโนโลยีทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นอัจฉริยภาพของ Apple แต่เพียงผู้เดียวอย่างแน่นอน แต่ Apple เป็นผู้ยอม “ตัดบัวไม่เหลือใย” ทำให้การเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยีรุดหน้าไปเร็วขึ้น ด้วยความที่ตนก็มีผู้ใช้อยู่เป็นจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลงในแต่ละครั้งจึงเป็นการพัดพาจำนวนผู้ใช้มากๆ ของตนไปสู่บทใหม่ของเทคโนโลยีให้เร็วขึ้นตามไปด้วย ซึ่งก็หมายถึงการกระตุ้นให้ทั้งวงการเคลื่อนตัวไปพร้อมกันด้วยนั่นเอง
มีผู้วิจารณ์ว่าทางเลือกของ Apple นั้นเป็นการตัดสินใจแบบ Futurist หรืออนาคตนิยม Apple ไม่ค่อยแคร์กับ “ปัจจุบัน” เท่าไรนัก Apple เห็นว่าปัจจุบันคือผลต่อเนื่องของอดีต และการเดินทางไปสู่อนาคตที่ดีนั้น มีเพียงการหักดิบเท่านั้นที่จะทำได้
สาวก Apple อาจพูดว่าอนาคตที่ Apple เลือกนั้นเป็นอนาคตที่ดีกว่า โดยอาจยกตัวอย่างเรื่องไดรฟ์ซีดีรอม หรือไดรฟ์ฟลอปปี้ดิสก์ข้างต้นขึ้นมา ว่าเห็นไหมว่าปัจจุบันก็ไม่มีใครคิดถึงมันอีกแล้ว
ทว่าปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดอนาคตโดย Futurist ที่ทรงอิทธิพลก็คือว่า เมื่ออนาคตแบบที่พวกเขากำหนดไว้เดินทางมาถึง เราจะไม่สามารถจินตนาการอนาคตแบบอื่นๆ ได้อีก : เราไม่สามารถจินตนาการได้อย่างชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไรถ้าโลกยังใช้ซีดีอยู่ หรือที่ซับซ้อนไปกว่านั้นคือ ถ้าไม่ใช่ซีดีแล้ว ทางเลือกอื่นๆ ที่เรามี คืออะไรบ้าง
ในทางเทคนิคแล้วหลายเสียงเห็นพ้องต้องกันว่าการที่ Apple ตัดตอนรูเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรออกจากไอโฟน 7 นั้นเป็นทางเลือกที่ดี ที่จะพาเราไปสู่อนาคตที่ดีจริงๆ เพราะหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรนั้นถึงแม้จะรับใช้เราอย่างซื่อสัตย์มายาวนาน แต่มันก็มีข้อจำกัดในความเป็นอนาล็อกของมัน มันมีความใหญ่โตโอฬารที่คอยกันไม่ให้อุปกรณ์มีขนาดเล็กลงได้อีก หลายคนอาจจะบอกว่าผู้ฟังทั่วไปไม่ต้องการคุณภาพเสียงที่สูงขนาดนั้น เมื่อให้ผู้ไม่สันทัดด้านเพลงฟัง (คือไม่ได้เป็น “Audiophile”) พวกเขาก็บอกว่าหูฟังรุ่นใหม่นั้นมีเสียงที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อมองผิวเผินจึงอาจไม่ใช่เรื่องแย่อะไรที่เรากำลังจะเดินไปสู่ยุคที่ไม่มีหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรกันอีกแล้ว
เทคโนโลยีก็เหมือนกับการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์-เผ่าพันธุ์ที่ปรับตัวได้ดีกว่า จะคงอยู่ เหลือรอดได้ในยุคถัดไป เทคโนโลยีที่ดีกว่า หรือกระทั่งไม่ได้ดีกว่าแต่เพียงแค่มีผู้ใช้มากกว่าเท่านั้น-จะเป็นผู้ชนะ
คำถามก็คือแน่นอนว่า Apple กำลังทำสิ่งที่ “ดี” ออกมาให้เราเห็นในรูปแบบหนึ่ง
แต่สิ่งที่ “ดี” ในรูปแบบอื่นๆ คืออะไรบ้าง-นั่นอาจเป็นสิ่งที่เราต้องถามตัวเอง หากเราต้องการมี “ทางเลือก” ในการกำหนดอนาคต