ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
ที่เห็นและเป็นไป : ดังนี้จึง‘ไม่เป็นสับปะรด’
“เดี๋ยวคอยดู โดนด่าอีก ทำดีในวันที่คนไม่ยอมรับแล้ว”
เป็นข้อความที่เพื่อนส่งมาทางแชตไลน์ หลังมีข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศสละเงินเดือน 3 เดือนเพื่อสมทบเยียวยาความเดือดร้อนประชาชนจากโควิด-19 ระบาดหนัก
อีกไม่ถึงชั่วโมงเป็นไปตามนั้น ข้อความในโลกออนไลน์ แทบจะทุกแพลตฟอร์ม รุมกระแนะกระแหน เย้ยหยัน หมิ่นแคลนกันคึกคัก เรื่องที่นายกรัฐมนตรีสละเงินเดือนดังกล่าว
ทำดี แต่คนไม่เห็นความดี
เป็นเช่นเดียวกับเสนอความคิด “ทำบุญใหญ่เพื่อเสริมสิริมงคลประเทศ” แล้วกระแสส่วนใหญ่โห่ฮา! พร้อมกับตั้งคำถามว่า “มันใช่เวลามั้ย-รู้จักคิดหรือเปล่า ควรแก้ปัญหาให้ประชาชนหายเดือดร้อนด้วยวิธีไหน”
เป็นอารมณ์เดียวกับต้องกักตัวทำงานที่บ้าน แล้วถ่ายรูปให้เห็นถึงภาพ “ปิดทองหลังพระ” ติดอยู่บนผนังหลังโต๊ะทำงาน แล้วถูกวิจารณ์ทันทีว่า “คิดทำดีแต่ไม่อยากให้คนเห็น แล้วเอามาโชว์ทำไม”
คล้ายๆ กับอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “ปราสาททราย” ที่อธิบายด้วยเจตนาให้ความหมายในทางความมั่นคงสำหรับ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” แต่กลับนึกไปถึงเพลงที่ให้นิยามว่า “แหลกสลายลงไปกับตา ไม่เหลืออะไรเลย”
ท่าทีของนายกรัฐมนตรี เป็นที่ตลกขบขัน และชวนให้อ่อนระอาในสถานการณ์ของประเทศที่สะท้อนสภาวะสิ้นหวังไปทุกเรื่อง
จนน่าสนใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้
อารมณ์แบบนี้ถ้าอยากได้คำตอบจริงๆ ลองมาดู “ล็อกดาวน์ 10 จังหวัด” ที่การระบาดของโควิด-19 ระบาดรุนแรงที่เพิ่งประกาศหมาดๆ
ลองเข้าไปอ่าน ไปฟัง ไปศึกษาเสียงสะท้อนจากประชาชนดู
ถ้าเข้าไปดูอย่างเผินๆ จะเห็นว่านอกจาก “พวก IO ที่เป็นกองเชียร์รัฐบาล” แล้ว คนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วยกับประกาศนี้ จนอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกได้ว่า “ประชาชนประเทศนี้ไม่ยอมเข้าใจ และให้ความร่วมมือกับการแก้ปัญหาประเทศเอาเสียเลย” ซึ่งอาจจะคิดต่อไปว่า “แบบนี้ถ้าไม่ใช้อำนาจบังคับ ไม่มีทางแก้ปัญหาได้”
แต่เรื่องนี้หากเข้าไปทำความเข้าใจ โดยให้เวลากับการอ่านแบบจับความหมายที่แท้จริงของการไม่เห็นด้วยสักหน่อย จะพบว่า “ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับการล็อกดาวน์”
ที่กระแสส่วนใหญ่ออกมาคัดค้าน เพราะ “ไม่เชื่อว่าล็อกดาวน์จะแก้ปัญหาอะไรได้”
ทั้งนี้ก็เพราะนอกจากคำสั่งที่ออกมาบังคับประชาชนแล้ว การจัดการอื่นที่จะหยุดยั้งการระบาดไม่มีเลย
กระแสพยายามนำเสนอว่า “จะมีประโยชน์อะไรที่ไม่ให้ประชาชนเดินทาง แต่ไม่มีการตรวจแบบครอบคลุม เพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกจากผู้ไม่ติด พร้อมมาตรการรักษาผู้ติดเชื้อ และจัดหาวัคซีนมาฉีดผู้ที่ไม่ติดเพื่อป้องกัน พร้อมๆ กับการแสดงให้เห็นความเอาจริงเอาจังกับการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ที่จะทำให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้”
หากฟัง อ่าน หรือดูให้ดีจะรู้ว่าไม่ใช่การต่อต้านแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไปเรื่อย แต่เพราะไม่ใช่ในวิธีการที่เห็นแต่ประกาศเพื่อดูว่าทำงานเป็นครั้งๆ ไป โดยไม่แสดงให้เห็นวิธีการแก้ปัญหาที่สะท้อนถึงความชาญฉลาด มีสติปัญญาอันเป็นความหวังว่าปัญหาจะจบลงได้จริง
ดังนั้น เรื่องราวทั้งหมด จึงไม่น่าจะใช่ว่า รัฐบาลทำอะไร กระแสจะออกมาแสดงท่าทีไม่เอาด้วยไปเสียหมด แบบมีอคตินำหน้า
เพราะแม้จะออกแบบไม่เห็นด้วยทุกเรื่อง กระแนะกระแหน หัวเราะขำขันทุกที แต่หากสังเกตดูให้ดีจะพบว่าที่เป็นเช่นนั้น เพราะ 7 ปีที่ทำงานในบทบาทผู้นำ เป็น 7 ปีที่สร้างความคิดความเชื่อให้ประชาชนเองว่า เป็นการทำงานที่คล้ายกับลงมือในทางดี แค่หวังผลอะไรไม่ได้เลย ด้วยถึงที่สุดแล้วมีแต่ “ฉาบฉวย”
เล่นกับเรื่องราวเฉพาะหน้าไปวันๆ โดยคาดหวังไม่ได้ที่จะเป็นการแก้ปัญหาอะไรสำเร็จอย่างจริงจังและยั่งยืน
อาจจะเป็นเพราะแบบนี้ ที่ทำให้ทุกวันนี้ ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะโผล่มาด้วยความคิด คำพูด และการกระทำแบบไหน แล้วทุกเรื่องจะเป็นแค่เรื่องที่ประชาชนมองอย่างตลกขบขัน ไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะมีอะไรเป็นโล้เป็นพาย
ดังนั้นก่อนที่จะโทษประชาชน จึงควรเข้าใจประชาชนด้วย
สุชาติ ศรีสุวรรณ