คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง :โชคดีที่ประเทศนี้มี‘คนไทย’

ใครๆ ก็ต้องเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ประเทศไทยนี้ดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวที่มีคนไทยมาอยู่” ซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นต้นคิด

วาทกรรมนี้ถูกเล่าเล่นทำซ้ำกันไปมาเรื่อยๆ ตามแต่ยุคสมัย หลายท่านอาจจะนึกออกในเวอร์ชั่นการ์ตูนพระเจ้าสร้างโลก แล้วรู้สึกว่าทำเลพื้นที่ตั้งของประเทศไทยนี้ออกจะดีเกินไปหน่อย ทะเลทราย ภูเขาไฟ ธารหิมะก็ไปวางไว้ที่อื่นหมดแล้ว เอานี่แหละ เอาเผ่าพันธุ์มนุษย์คนไทยไปวางก็แล้วกัน

ขยายความเป็นคำอธิบายให้จริงจังขึ้นว่า เพราะประเทศไทยเรานี้อยู่ในภูมิศาสตร์ที่ดีที่สุดในโลกจุดหนึ่ง ซึ่งไม่มีภัยพิบัติร้ายแรง มีธรรมชาติและทรัพยากรต่างๆ อุดมสมบูรณ์ จะเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์อะไรก็ล้วนได้ผลดี เสียก็แต่ว่า คนไทยเรานั้นใช้โอกาสที่ได้รับจากประเทศอันมีที่ตั้งแสนวิเศษนี้กันอย่างเปล่าเปลือง ด้วยความไร้วินัย ไม่เคารพกฎหมาย ไม่ตรงต่อเวลา เกียจคร้านรักสบาย ไม่รู้จักทำงานเป็นทีม (ซึ่งแม้แต่คำที่ความหมายตรงกันพอดีกับการทำงานเป็นทีม นั้นก็ไม่มีอยู่ในภาษาไทย) เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม

เท่าที่ฟัง หรืออ่านไปแล้วก็เกือบเชื่อว่าจริง แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะจริงกว่า คือ คนพูด หรือเอาวาทกรรมนี้มาขยายซ้ำนั้น มักจะเชื่อ หรือมั่นใจไปว่าตัวเอง ไม่ใช่คนไทยในกองที่ถูกเหมารวมอยู่นั้น

Advertisement

หากแต่มันเป็นจริงเช่นนั้นหรือ ? ในวันที่มีมนุษย์ชาวไทยที่ประสบความสำเร็จมากมายในหลากหลายวงการ ล่าสุดก็เพิ่งมีคนไทยได้รับการปรบมือสดุดียาวนานจากผู้ชมในเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกที่เมืองคานส์ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล จากผลงานภาพยนตร์ที่เขากำกับ และได้รับรางวัลปรีซ์ดูนูรีที่เทียบเท่ารางวัลที่สามจากเทศกาลเดียวกันนั้น ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้รับรางวัลสูงสุดปาล์มทองคำไปจากเทศกาลนี้เมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว

ทั้งมีคนไทยเป็นนักวิชาการด้านพฤติกรรมศาสตร์ ศาสตราจารย์ ดร.ณัฐวุฒิ เผ่าทวี ที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศอังกฤษ ที่ทำงานร่วมกับนักวิชาการระดับโลกรางวัลโนเบลในสาขานี้อย่างศาสตราจารย์ แดเนียล คาห์นเนอร์มาน ผลงานของอาจารย์ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลอังกฤษในการกำหนดนโยบายออกจากล็อกดาวน์ในวิกฤตไวรัสโควิด-19 ของปีที่แล้ว

นอกจากนั้น เรายังมีคนไทยที่ได้รับการยอมรับระดับสากลอีกมากมาย มีบริษัทเครื่องสำอางของคนไทยส่งไปขายตีตลาดเป็นที่ฮือฮาในประเทศญี่ปุ่น ภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่งเพิ่งติดอันดับทำเงินสูงสุดในประเทศเกาหลีในสัปดาห์ที่ฉาย มีนักเขียนที่มีผลงานวรรณกรรมได้รับการยอมรับในหลายประเทศ มีบริษัทคนไทยทำวิดิโอเกมส์ที่ขายได้ในระดับโลก มีตัวอย่างมากมายให้ยกเล่าได้อีกเป็นหน้ากระดาษ

Advertisement

ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะยักไหล่ว่าแล้วไง นั่นเป็นเพียงความสามารถเฉพาะตัวที่โดดขึ้นมาของคนไทยเพียงบางคน ไม่ใช่คุณภาพของคนทั้งหมดทั้งประเทศ นั่นก็อาจจะจริง แต่ในอีกทางหนึ่ง ก็หมายความว่า “ความเป็นคนไทย” นั้นไม่ใช่ข้อจำกัดของการเป็นมนุษย์คุณภาพมาตั้งแต่ต้น คำขวัญโฆษณาที่ถูกเอามาล้อเลียนกันว่า “คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก” ก็มีส่วนถูกในแง่นี้

แล้วความอ่อนด้อยของคนไทยที่ปรากฏในวาทกรรม “ประเทศนี้ดี เสียแต่มีคนไทย” นั้นเป็นจริงแค่ไหนและเกิดจากอะไรกันแน่ หรือเราจะมาลองทบทวนถอดรื้อวาทกรรมนี้ แต่เมื่อทบทวนแล้วจะส่งต่อหรือจะหยุดทำซ้ำก็เป็นสิทธิเสรีของท่าน

เราอาจจะต้องแยกแยะโดยเริ่มจากว่า บรรดานิสัยหรือพฤติกรรมที่ไม่ดีของคนไทยหลายเรื่องที่ว่ากันมานั้นก็เป็นเรื่องจริงเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่บางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องจริง หรืออย่างน้อยแม้จะเคยจริงทุกวันนี้ก็ไม่จริงไปนานแล้ว อย่างมีข้อพิสูจน์หรือหลักฐานประจักษ์ด้วยซ้ำ

สำหรับส่วนที่เป็นเรื่องจริง ก็ต้องมาทบทวนว่า “ความจริง” เช่นนั้นเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในสายเลือดของคนไทยระดับเผ่าพันธุ์ หรือเป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาภายใต้สภาวะแวดล้อมอย่างหนึ่ง ทั้งโดยจงใจและที่ไม่จงใจ

ความไร้วินัย ไม่เคารพกฎหมาย ไม่ตรงต่อเวลา เกียจคร้านรักสบาย อันเป็นนิสัยคนไทยที่เรา (เราในที่นี้หมายถึงคนที่แยกตัวเองออกจากกองเหมารวมข้างต้น) เอือมระอานั้น ถามจริงเถิดว่า เราไม่เคยเห็นนิสัย หรือพฤติกรรมเช่นนี้กับคนชาติอื่นบ้างเลย หรือ และเคยเห็นหรือไม่ ที่คนต่างชาติที่มาจากประเทศที่เชื่อกันว่ามีระเบียบวินัยและเคารพกฎหมาย หรือตรงต่อเวลาที่สุด ค่อยๆ เสียลักษณะนิสัยเช่นว่านั้นไป และกลายเป็นอะไรที่เป็นแบบ “คนไทยอันไม่พึงปรารถนา” ไปหลังจากที่อยู่อาศัยในประเทศไทยได้ระยะเวลาหนึ่ง

เพราะมนุษย์มีสัญชาตญาณที่ไม่แตกต่างกันในการเรียนรู้และปรับตัวตามสภาวะแวดล้อม การปรับตัวที่ยาวนานจะเกิดนิสัย และนิสัยนั้นอาจจะถูกส่งต่อบ่มเพาะกันได้ ภายใต้เงื่อนไขแห่งสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้นิสัยนั้นยังเป็นประโยชน์อยู่

เราจะเอ้อระเหยนอนไถโทรศัพท์อยู่หรือไม่ ถ้ารถไฟที่เราจะต้องโดยสารเที่ยวเดียวของเช้าวันนั้นออกจากชานชาลาเป็นประจำในเวลา 08.00 ในทุกเช้า แบบที่พลาดแล้วก็รอไปอีกชั่วโมงครึ่ง และในทางกลับกัน เราจะไปรอก่อนเวลานั้นหรือไม่ หากรถไฟสามารถมาถึงได้ตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่งถึงเก้าโมงเช้า และเราจะรักษากฎระเบียบในการใช้รถใช้ถนนได้จนถึงเมื่อไร ถ้าพบว่าการรอสัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายในบางแยก ทำให้คุณโดนรถข้างหลังบีบแตรใส่ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ทำไมไม่หาโอกาสรถว่างเลี้ยวไปเลย

เราอยากเคารพกฎหมาย หรือกฎเกณฑ์ที่เรารู้อยู่แน่ๆ ว่าไม่มีการบังคับจริงจังให้เป็นตามนั้น เหมือนที่ตอนนี้มีใครคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหลังอยู่หรือไม่ หรือร้ายที่สุดคือคุณรู้ทั้งรู้ว่ากติกานั้นใช้บังคับได้กับคนบางกลุ่ม แต่สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งกติกาเหล่านั้นมีคำอธิบายจนได้ว่า ทำไมเขาไม่ต้องถูกบังคับด้วยกติกาเดียวกับคุณ เช่น ที่ร้านอาหาร หรือร้านเบียร์ ถ้าขืนโพสต์รูปเบียร์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงในสื่อโซเชียล หรือแม้แต่พิมพ์ไว้ในเมนู ก็รอเจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตามตัวไปดำเนินคดี ในขณะที่ทายาทโรงเบียร์ใหญ่ของประเทศนี้ หรือร้านสะดวกซื้อเจ้ายักษ์สามารถทำได้แบบปิดตาข้างหนึ่ง

ดังได้กล่าวไปแล้วว่า มนุษย์มีสัญชาตญาณในการเรียนรู้และปรับตัว เช่นนี้สิ่งใดที่ทำไปแล้วหาประโยชน์ไม่ได้ มโนธรรม หรือการอบรมสั่งสอนอาจจะเหนี่ยวรั้งให้เราทู่ซี้ทำอยู่ได้สักพักหนึ่ง จนกระทั่งเห็นแล้วว่าไม่เป็นประโยชน์จริงๆ หรือฝืนทำต่อไปแล้วจะเป็นโทษ หรือเสียประโยชน์ของตน เราก็จะเลิกพฤติกรรมนั้น และก็จะทำตามๆ คนอื่นเขาไปนั่นเอง

เพราะคนไทยเกิดและเติบโตมาหลายต่อหลายรุ่น อยู่ในระบอบที่ระเบียบมีไว้เพื่อบังคับ กฎเกณฑ์และกฎหมายต่างๆ เป็นไปตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจในการที่จะเลือกใช้ ระบบดังกล่าวเหี้ยมเกรียมพอที่จะให้รางวัลกับคนที่เชื่องเชื่อยอมดำเนินชีวิตไปตามเกณฑ์วิถีที่อำนาจดังกล่าวเห็นว่าไม่เป็นภัย โดยมีรางวัลให้ตามสมควรเป็นความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตเท่าที่เขาจะกรุณา แต่กับคนที่ลุกขึ้นตั้งคำถามหรือเรียกร้องเอาสิทธิเสรีอื่น ก็จะถูกลงโทษอย่างเด็ดขาด ร้ายกาจ รุนแรง

จะให้เราเอาความคิดสร้างสรรค์มาจากไหนในระบบการศึกษาที่ปลูกฝังแต่เรื่องให้ท่องจำเชื่อตามแบบห้ามถามห้ามสงสัย มีหลักวิทยาศาสตร์และตรรกศาสตร์ตลอดจนหลักวิชาการเอาไว้ใช้เพื่ออธิบายเรื่องราวร้อยสิ่งพันอย่าง แต่ยกเว้นเรื่องบางเรื่องไว้ให้เหนือการตั้งคำถาม หรือพิสูจน์ทดสอบด้วยตรรกะ เช่น เกณฑ์เดียวกันเรื่องอื่นๆ

สภาวะทั้งหลายเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยใครคนหนึ่ง หรือแม้แต่จารีตของสังคม แต่มันได้รับการสนับสนุนขัดเกลา และสร้างขึ้นจากอำนาจของผู้ปกครองมาหลายต่อหลายรุ่น เพื่อให้พลเมืองที่เชื่องเชื่อและพอใจกับสิ่งที่เขาแบ่งให้ ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามว่า แล้วทำไมผู้ปกครองกลุ่มเล็กๆ เหล่านั้น จึงได้รับในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ อยู่เหนือกติกาที่คนอื่นต้องเคารพ หรือสุขสบายร่ำรวยอยู่ภายใต้ความลำบาก และความตายของเพื่อนร่วมชาติ

คนไทยไม่ได้นิสัยแย่ พฤติกรรมร้าย หรือด้อยประสิทธิภาพมาตั้งแต่เกิด และประเทศนี้คงไม่ได้โชคร้ายเพียงเพราะมีคนไทยมาอยู่ หากโชคร้าย เพราะถูกสร้างกลไกสังคม และวัฒนธรรมจากผู้ปกครองแบบนี้มานานจนกว่าที่เราจะรู้ตัวก็เกือบสายไปเสียแล้ว

สำหรับความเชื่อกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่เรื่องจริง หรืออย่างน้อย แม้จะเคยจริงทุกวันนี้ก็ไม่จริงไปนานแล้ว เรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือคนไทยร่วมมือกันทำงานเป็นทีมไม่เป็น เห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม

ใครยังเชื่อแบบนี้ ขอให้ไปดูการชุมนุมทางการเมืองในแต่ละครั้ง นั่นเป็นตัวอย่างที่ดีในเวลาอันสั้นที่ท่านจะได้เห็นความร่วมมือร่วมใจ และทำงานร่วมกันอย่างน่าทึ่ง

คนไทยเราทำงานเป็นทีมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ประชาชนคนธรรมดาที่ไม่มีอำนาจรัฐ เช่น สถานการณ์ไฟไหม้โรงงานที่กิ่งแก้ว ทีมงานที่ช่วยกันควบคุมเพลิง และวางแผน คือ กลุ่มคนกู้ภัยมูลนิธิเอกชน และเครือข่ายประชาชนที่สร้างแผนที่และช่วยวางแผนจากโดรน หรือในสภาวการณ์โควิด-19 เราได้การทำงานเป็นทีมของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ช่วยพยุงสถานการณ์ไว้ไม่ให้เลวร้ายลงไปกว่านี้ นอกจากคุณหมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์แล้ว เรายังมีอาสาสมัครประชาชนธรรมดาทั่วไปที่สร้างเครือข่ายช่วยเหลือกันเอง เช่น เครือข่ายอาสา “เส้นด้าย” ที่พยายามหาเตียง ที่รักษาพยาบาล และหยูกยาออกซิเจนให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถส่งตัวไปถึงมือหมอได้ พวกเขาช่วยชีวิตคนได้นับร้อยนับพัน

เราได้เครือข่าย “กลุ่มคนดูแลกันเอง” ที่เข้าไปช่วยเหลือคนงานก่อสร้างและครอบครัวที่ถูกกักกันไว้ในแคมป์พักอย่างละเมิดสิทธิมนุษยชน และไร้มนุษยธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ หลายแห่งนั้น หากเขาไม่เข้าไปช่วยเหลือก็อาจจะมีผู้คนในนั้น หรือเด็กๆ เสียชีวิตได้จริงๆ เพราะขาดนม อาหาร หรือแม้แต่น้ำดื่ม

เช่นนี้ใครยังใจร้ายกล้าพูดว่า คนไทยทำงานเป็นทีมไม่ได้ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวมอีกหรือ

นี่คือทีมของ “คนไทย” ธรรมดาผู้ไร้อำนาจรัฐ ที่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยชีวิต และพยุงความเป็นมนุษย์ให้แก่ผู้คนโดยไม่เลือกสัญชาติ ในยามที่รัฐไม่ช่วยแล้วยังซ้ำเติม จนหลายคนที่มีประสบการณ์กับการลุกฮือของประชาชนในต่างประเทศเห็นตรงกันว่า ถ้าเป็นบ้านอื่นเมืองอื่น ป่านนี้ก่อจลาจลกันจนแผ่นดินลุกเป็นไฟทั้งโดยนัยและตามตัวอักษรไปนานแล้ว

ภายใต้ผู้ปกครองที่เห็นแก่ตัว และกอบโกย แม้ในยามวิกฤตถึงชีวิต อำนาจรัฐที่ง่อยเปลี้ยซ้ำไร้หัวใจ ที่เราผ่านไปได้ในแต่ละวันนี้ ก็ไม่มีอะไรควรค่าไปกว่าการชื่นชม ซึ่งกันและกันว่า ทุกวันนี้ โชคดีที่ประเทศนี้ยังมีคนไทย คนธรรมดาเราๆ ท่านๆ นี้เอง

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image