ท่วงท่า การเมือง “ปริญญา เทวานฤมิตรกุล” ร่างรัฐธรรมนูญ

การออกโรงของ นายแก้วสรร อติโพธิ ทรงความหมาย ยิ่งการออกโรงของ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ยิ่งทรงความหมาย

เพราะนี่คือ “การแสดงตัว” แห่ง “สีสัน”

ต้องยอมรับในบทบาทอันเสมอต้นเสมอปลายของ นายแก้วสรร อติโพธิ ไม่เพียงเพราะเคยเป็น ส.ว. อันมาจากการเลือกตั้ง

หากยังเคยมีส่วน “ร่าง” รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540

ระยะก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 เรื่อยมาตราบ ณ วันนี้ เขาคือผู้ที่ยืนอยู่ “ตรงกันข้าม” กับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย

ADVERTISMENT

ไม่เคย “แปรเปลี่ยน”

ขณะที่กล่าวสำหรับ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ถือได้ว่าเป็น “สีสัน” อันลดโทนลงมาเมื่อเปรียบเทียบกับ นายแก้วสรร อติโพธิ

เขาเป็น “ผลิตผล” แห่งการต่อสู้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535

ระยะยืนไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” เพราะอยู่ในทีมของ นายสุรพล นิติไกรพจน์ และอยู่ในทีมเดียวกับ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ โดยตลอด

2 คนนี้ไม่ “สุกงอม” เท่าใดนักกับ “ร่าง” รัฐธรรมนูญ

หากการออกมาแสดงความเห็นใน “เชิงลบ” ต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับ มีชัย ฤชุพันธุ์ โดย นายแก้วสรร อติโพธิ โดย นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล

ถูกมองว่า “บิดเบือน” จากมุมของ นายอมร วาณิชวิวัฒน์ ก็น่าคิด

“เรื่องใหญ่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขณะนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความยุ่งยากซับซ้อนของการชี้แจง แต่มีผู้ที่ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจแต่จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง”

เป็นแถลงล่าสุดจาก นายอมร วาณิชวิวัฒน์ ในฐานะ “โฆษก”

หากพิจารณาอย่าง “เปรียบเทียบ” มีพื้นฐานอันสร้างความแตกต่างอย่างแน่นอนในด้าน “มุมมอง” ของบุคคลทั้ง 3

เพราะ นายอมร วาณิชวิวัฒน์ เป็น “นักรัฐศาสตร์”

เพราะ นายแก้วสรร อติโพธิ เป็นนักนิติศาสตร์ และเพราะ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ก็เป็นนักนิติศาสตร์

แต่ถ้าสรุปว่า นายแก้วสรร อติโพธิ “บิดเบือน” ก็เกินไป

และถ้าสรุปว่า นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล บิดเบือนข้อเท็จจริงอย่าง “เจตนา” ก็เกินไป

ถามว่า 2 คนนี้มี “เจตนา” และ “เป้าหมาย” อะไรในทางการเมือง จึงต้องมาบิดเบือนข้อเท็จจริงต่อผลงานที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ มีส่วนรับผิดชอบอย่างสำคัญ

เพราะพวกเขาล้วนเป็น “โดม เจ้าพระยา ท่าพระจันทร์” มาด้วยกัน

ประเด็นอันแหลมคมมากยิ่งกว่ามุมมองในแบบ “โฆษก” ไม่ว่าจะจาก นายอมร วาณิชวิวัฒน์ ไม่ว่าจะจากนายชาติชาย ณ เชียงใหม่ ซึ่งล้วนเป็น “นักวิชาการ

คือทำไมต้อง “ตัด” บรรยากาศแห่งการ “ถกเถียง”

บทสรุปคำโตๆ ที่ว่า เกรงจะมีการนำเนื้อหาของ “ร่าง” รัฐธรรมนูญไปบิดเบือน บทสรุปจากความห่วงใยที่ว่าอาจทำให้ประชาชนสับสน

ในที่สุดก็มุ่งไปสู่ “เป้าหมาย” เดียว คือ การ “ปิดปาก”

อย่างเช่นในกรณีดำเนินมาตรการ “ป้องปราม” นายจตุพร พรหมพันธุ์ ด้วยการเรียกตัวเข้าไปในกองทัพภาคที่ 1

อย่างเช่นในกรณีห้ามเสวนา “ร่างรัฐธรรมนูญ” ที่ “นิด้า”

ทั้งๆ ที่คนพูดไม่ว่า นายบรรเจิด สิงคะเนติ ไม่ว่า นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ไม่ว่า นายสุวิชา เป้าอารีย์ ไม่ว่า นายคมสัน โพธิ์คง หรือแม้กระทั่ง นายสุริยะใส กตะศิลา

ล้วนแต่ “เหลืองอร่าม” และร่วมเป่า “นกหวีด” มาทั้งสิ้น

เสมือนกับว่าไม่ต้องการให้ฟังความเห็นจาก “นักวิชาการ” เสมือนกับว่าต้องการให้อุดหูและคอยรับฟังแต่จาก “โฆษก กรธ.” สถานเดียว

ถามว่าจะทำ “ประชามติ” ไปทำไมเมื่อไม่ต้องการ “เสียงแย้ง”

ถามว่าหากต้องการให้ “รับ” อย่างหมอบราบคาบแก้วจะ “ประชามติ” ไปทำไม

ในที่สุดแล้ว ไม่ว่า คสช. ไม่ว่ารัฐบาล ไม่ว่าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ก็คิดอย่างเดียวกัน

นั่นก็คือ ทาง 1 คิดว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วคนเรายังโง่ ทุกวันนี้คนเราก็ยังโง่อยู่ ฉะนั้น ทาง 1 อะไรที่ คสช.คิด อะไรที่รัฐบาลสั่ง และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการมา

ก็ควร “น้อมรับ” ด้วยความนอบน้อม พร้อมใจพลัน