ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
เผยแพร่ |
ทั้งๆ ที่การแตะของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สปท.เข้าไปยัง “พรรคการเมือง” เป็นไปอย่างแผ่วเบา
นั่นก็คือ ในเรื่อง “รีเซต” จำนวน “สมาชิก”
เหตุใด “ปฏิกิริยา” อันสะท้อนมาจากแต่ละพรรคการเมือง ไม่ว่าจะจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะมาจากพรรคชาติไทยพัฒนา
เอะอะ โวยวาย รุนแรง อย่างยิ่ง
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง สมาชิกพรรคคือ “รากฐาน” อย่างแท้จริงของทุกพรรคการเมือง แล้วทำไมแต่ละพรรคการเมืองจึงต้องเดือดร้อนในเรื่องนี้อย่างร้อนรน
แค่เน้นในเรื่อง “ค่าบำรุงพรรค” ก็ค้านว่า “เป็นไปไม่ได้”
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง หากแต่ละพรรคสามารถระดม “เงินทุน” จากสมาชิกพรรคได้อย่างเป็นก้อนเป็นกำ โอกาสที่พรรคจะถูกยึดหรือเขมือบโดย “ขาใหญ่” ภายในก็เป็นไปได้ยาก
การแตะของ “สปท.” จึงเท่ากับเป็นการแหย่เข้าไปใน “จุดอ่อน”
เป็นจุดอ่อนซึ่งดำรงอยู่อย่างยาวนานของเกือบทุกพรรคการเมือง ไม่เว้นแม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งอ้างความเป็น “สถาบัน” เพราะตั้งมาเก่าแก่ยาวนานตั้งแต่เมื่อปี 2489
ทำไม และ อะไร
ระยะแห่งการพัฒนาประชาธิปไตยไทยก่อนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 อันถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ “ประชาชน” จะประกาศและบังคับใช้
มี “วลี” 1 ในทางการเมืองได้รับการเอ่ยถึงอย่างถี่ยิบเป็นพิเศษ
นั่นก็คือ วลีว่าด้วย “นักเลือกตั้ง” อันถือว่าเป็นนักการเมืองพันธุ์ 1 ซึ่งดำรงอยู่อย่างยาวนานนับแต่สังคมประเทศไทยได้เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อเดือนมิถุนายน 2475
ที่เรียกว่า “นักเลือกตั้ง” เพราะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการสร้าง “ชัยชนะ” ให้กับการเลือกตั้ง
พรรคการเมืองทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นในยุครัฐธรรมนูญ พ.ศ.2489 อันถือว่าเป็นพัฒนาการที่ก้าวหน้าต่อจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475 ล้วนเป็นแหล่งผลิต “นักเลือกตั้ง” ทั้งสิ้น
กำเนิดแห่งพรรคการเมือง คือ แหล่งรวมของ “นักเลือกตั้ง”
นักทฤษฎีลัทธิประชาธิปไตยบางคนจึงเรียกสภาผู้แทนราษฎรของไทยว่าเป็น “สภา” อันเป็นแหล่งรวมของ “นักเลือกตั้ง”
พัฒนาการของพรรคการเมืองจึงเป็นพัฒนาการเพื่อเป้าหมายให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง
มิได้เป็นพรรคการเมืองอันเป็น “พรรคมวลชน” ที่เติบใหญ่เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนในทางสังคมอย่างเป็นจริง หากมุ่งเพื่อชัยชนะในการเลือกตั้งในแต่ละครั้งเป็นสำคัญ พรรคการเมืองเช่นนี้จึงรวมตัวกันอย่างหลวมๆ มิได้มีการจัดตั้งอย่างแข็งแกร่ง
เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นคุณ ไม่มีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองก็ยุติบทบาท ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
ข้อสังเกตจากกรรมาธิการแห่งคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยด้านการเมืองต่อรูปแบบและโครงสร้างของพรรคการเมืองจึงถูกต้อง
เพียง “แตะ” เข้าไปเบาๆ แต่ละพรรคก็ดิ้นเร่า ทุรนทุราย
ทั้งๆ ที่หากพิจารณาข้อเสนอในเรื่อง “สมาชิกพรรค” อย่างเข้มงวด เอาจริงเอาจัง นี่คือช่องทางที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับพรรคการเมืองได้อย่างยั่งยืน
ยิ่งสมาชิกพรรคมี “คุณภาพ” ยิ่งทำให้พรรคมี “อนาคต”
ชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคการเมืองอาจมีประโยชน์ทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ถามว่าเป็นรัฐบาลที่มีอนาคตและแข็งหรือไม่
อาจมิใช่
ดูตัวอย่างชัยชนะของพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2548 ดูเถิด ดูตัวอย่างชัยชนะของพรรคพลังประชาชน เมื่อปี 2550 ดูตัวอย่างชัยชนะของพรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2554 ดูเถิด
เมื่อประสบกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ไปไม่เป็น
เมื่อประสบกับมาตรการ “ชัตดาวน์” อันมาจาก “กปปส.” ก็ไปไม่เป็น
ยิ่งประสบกับรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ยิ่งกลับบ้านไม่ถูก ยิ่งประสบกับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ยิ่งกลับบ้านไม่ถูก
เพราะขาดฐาน “มวลชน” เพราะมิได้เป็น “พรรคมวลชน” อย่างแท้จริง
หากพรรคการเมืองต้องการสร้างความเข้มแข็ง ต้องการพัฒนาพรรคการเมืองอย่างมีอนาคตและยั่งยืน
พรรคการเมืองต้องค่อยๆ แปรเปลี่ยนคุณภาพภายในของตนจากพรรคการเมืองของ “นักเลือกตั้ง” ให้เป็นพรรคที่แนบแน่นอยู่กับประชาชน ให้กลายเป็น “พรรคมวลชน” อย่างเป็นจริง
พรรคมวลชนอาจทำด้วยความยากลำบาก แต่ก็ทรงความหมาย