ที่เห็นและเป็นไป : โอ้! ‘นี่มันอะไรกัน’

ที่เห็นและเป็นไป : โอ้! ‘นี่มันอะไรกัน’

ท่ามกลางสารพัดความไม่ลงตัว ในเรื่องการบริหารจัดการวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้อันดับความสามารถในการรับมือโรคระบาดที่ประเมินโดยองค์การอนามัยโลก WHO ประเทศไทยเราหล่นมาอยู่ในอันดับแรกๆ ของประเทศที่มีศักยภาพในการสู้กับโรคระบาดต่ำ

ความไม่ลงตัวที่เกิดจากการประเมินสถานการณ์ผิดพลาด มองความรู้ความสามารถของทีมงานได้ไม่ชัดเจน เหมือนต้องมองผ่านแว่นตาที่พร่ามัวจากสิ่งแปดเปื้อนบางอย่างมาเคลือบกระจกแว่นไว้ ทำให้ทุกสิ่งอย่างโกลาหลไปหมด

ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการวัคซีนที่ใครเห็นแล้วชวนให้เวียนหัวรุนแรงตั้งแต่ต้นจนปลาย ทั้งความคิดในการจัดหาวัคซีนที่จนป่านนี้จะเพียงพอทั้งในปริมาณและคุณภาพทันการระบาดที่ลุกลามไปอย่างรวดเร็วได้อย่างไร

การตรวจหาผู้ติดเชื้อเพื่อแยกออกไปควบคุมไม่ให้แพร่ไปสู่คนอื่น อันเป็นความจำเป็นหากต้องการหยุดยั้งการระบาดให้สำเร็จ ก็เช่นกัน ยังมองไม่เห็นว่าจะทำได้อย่างไร คลัสเตอร์เกิดขึ้นมากมาย ขณะที่คนจากคลัสเตอร์ที่ถูกสั่งให้กักตัวยังท่องไปทั่ว

Advertisement

ยิ่งไปกว่านั้นนโยบายส่งคนป่วยไปต่างจังหวัด แม้ในภาพที่แสดงให้ดูจะพอเป็นตัวอย่างได้ถึงการจัดการให้การเดินทางเป็นไปอย่างมีระเบียบ แต่ในทางปฏิบัติที่นอกเหนือไปจากนั้น ยังคงปล่อยให้ผู้ป่วยเดินทางข้ามจังหวัด เพื่อหาทางไปตายเอาดาบหน้ากันเอง เพราะหาที่รักษาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลไม่ได้

โรงพยาบาลแน่นไปด้วยคนป่วยทั้งสาหัสแล้ว และเพิ่งเริ่มต้นร้องขอความหวังที่จะได้รักษา ท่ามกลางสีหน้าอ่อนล้า ด้วยรับภาระหนักต่อเนื่องมายาวนาน และไม่รู้ว่าจะบางซาลงเมื่อไร วันไหนหัวใจจะไม่ต้องเต้นด้วยความรู้สึกเวทนาผู้ป่วยที่ตะเกียกตะกายมาหาถึงโรงพยาบาล แล้วต้องกลั้นน้ำตาบอกว่าไม่รับ เพราะเกินกำลังความสามารถของระบบที่โรงพยาบาลมีอยู่ หากรับเข้ามาจะพากันพังไปกว่านี้ ด้วยก่อนหน้านั้นไม่ได้ทุ่มงบประมาณเพื่อจัดเตรียมการรองรับไว้แบบคนที่มองไกลพอจะเห็นสถานการณ์ล่วงหน้าได้

ไม่เว้นแม้แต่ปัญหาผู้ร่วมความรับผิดชอบเดียวกัน แทนที่จะประสานงานกันอย่างกลมเกลียวให้เกิดพลังที่จะรับมือความทุกข์ร้อนของประชาชนได้ กลับออกมาแสดงท่าทีชี้ผิดที่คนอื่น ปกป้องตัวเองไว้ในที่ปลอดภัย ทั้งที่น่าจะรู้ว่า ท่ามกลางบรรยากาศของการโทษกันไปโทษกันมา ไม่มีทางที่ใครจะอยู่ในที่ปลอดภัยได้ โคลนที่สาดออกจากมือตัวเอง ย่อมเรียกให้น้ำร้อนจากมือคนที่เปื้อนโคลนสาดกลับเข้ามาแบบ “ข้าอยู่ไม่ได้ เอ็งก็เดือดร้อน”

Advertisement

ปากท้องของประชาชนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบหนักจากมาตรการ “ล็อกดาวน์” ที่ถูกวิจารณ์หนักว่า “ทำให้เจ็บแต่ไม่จบ” เป็นแบบ “ล็อกไปเรื่อยเปื่อยที่มองไม่เห็นมาตรการอะไรที่จะควบคุมการระบาดได้”

ความสิ้นหวังเกิดขึ้นทั่วในทุกมิติของชีวิต

ภาพคนล้มตายข้างถนน หามศพแม่มาเผาโดยลูกเล็กไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร และเรื่องเศร้าสลดภายในครอบครัวที่มากมาย จนเกิดกระแสส่งเสียง “จำนวนคนตายไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือชีวิตและคนในครอบครัวของใครสักคน” ให้ดังถึงผู้มีอำนาจรับผิดชอบ

แต่ทุกสิ่งอย่างดูไม่มีความหมายอะไร

การลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเรียกร้อง ถูกปราบปรามอย่างหนัก

ในบรรยากาศที่ประชาชนนั่งมองภาพที่เผยแพร่ทั่วไปในโลกออนไลน์ ด้วยเรื่องราวความสนุกสนานรื่นเริงของผู้มีอำนาจ ที่ประกาศ “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” ในเสียงร่ำไห้ระงมไปทั่วของ “ประชาชนผู้สูญเสีย-ผู้ถูกโรคร้ายคร่าชีวิตญาติสนิท มิตรอันเป็นที่รัก บุพการี ลูกหลาน”

ท่ามกลางเสียงวิงวอนให้รัฐบาลทุ่มเทหาทางเยียวยาให้แค่พอมีความหวังกับการมีชีวิตอยู่ต่อไปบ้าง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี เลือกลงนามในข้อกำหนดให้เอาผิดกับผู้ที่นำเสนอ “ข้อมูลข่าวสารที่ก่อให้เกิดความตื่นกลัวกับประชาชน”

ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ ประกาศฉบับนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่จะสร้างความตื่นกลัวให้กับประชาชน

เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่าทัศนคติของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ ในการตีความข้อมูลข่าวสารว่าแบบไหนเป็นภัยต่อความมั่นคง จะเป็นอย่างไร

การแสดงออกเพื่อกระตุ้นให้เยี่ยวยาความทุกข์ ความเดือดร้อนของประชาชนที่แสนสาหัสจะยังทำได้หรือไม่

จะถูกตีความโดยคนที่มีทัศนคติที่ถูกชักนำด้วยอะไร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image