ท้วงติง ห่วงใย กรณี ทัวร์ศูนย์เหรียญ ก่อน “บานปลาย”

การ “สนธิ” กำลังทั้ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เข้าจัดการกับ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ”

มากด้วยความละเอียดอ่อนอยู่แล้ว

การออกมาตั้ง “ข้อสังเกต” เชิงท้วงติง

ด้วยความห่วงใยจาก นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ยิ่งมากด้วยความละเอียดอ่อน

Advertisement

เน้นให้เห็นถึง “วิถีดำเนิน” อันเป็นแรงดันทาง “การเมือง”

“ควรตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อทำการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นว่ามีใครอยู่เบื้องหลังนโยบายการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญหรือไม่”

“ข้อสังเกต” นี้จึง “ไม่ธรรมดา”

Advertisement

หากมองที่ตัวของ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็ไม่น่าจะมี “เงื่อนงำ” อะไรลึกซึ้งและซับซ้อน

แล้วทำไมจึงต้องถึงขนาด “คณะกรรมการอิสระ”

เท่ากับสะท้อนให้เห็นว่าผลสะเทือนจากกรณี “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” มากด้วยองค์ประกอบอันมิได้เป็นเรื่องของการท่องเที่ยว หรือในปริมณฑลด้านเศรษฐกิจในลักษณะทั่วไป

หากแต่ยังแฝงด้วย “กลิ่นอาย” ในทาง “การเมือง”

 

ถามว่ากรณีของ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” เป็นเจตนาดีของรัฐบาล เป็นเจตนาดีของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือไม่

ตอบได้เลยว่า แน่นอน

แน่นอน 1 เพราะว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” มากด้วยความอื้อฉาว มีเรื่องนินทากันมาอย่างยาวนาน แต่ไม่มีใครสามารถจัดการได้

เพราะว่า นักท่องเที่ยว “จีน” เป็น“ผลประโยชน์” มหาศาล

ขณะเดียวกัน แน่นอน 1 สามารถคาดเดาได้เลยว่า หาก “แตะ” เข้าไปไม่ว่าระดับใดจะต้องก่อผลสะเทือนในทางเศรษฐกิจอย่างกว้างไกล

“ยอด” นักท่องเที่ยวระดับ 1 ก็จะต้อง “ลด” ลงอย่างฮวบฮาบ

ยิ่งกว่านั้น ตัวเลขที่ทะยานไปถึงหลักกว่า 7 ล้าน ของนักท่องเที่ยวชาวจีนยังหมายถึงผลประโยชน์กลางน้ำ ปลายน้ำ ไม่ว่าร้านค้า สถานบริการ โรงแรม รีสอร์ต มัคคุเทศก์

คึกคัก หน้าบาน กันอย่างถ้วนหน้า

บทสรุปเฉพาะเดือนตุลาคมที่จะตกกระทบจากที่บริษัททัวร์และธุรกิจโรงแรมประมวลมานำเสนอก็สัมผัสได้อย่างเด่นชัด นั่นก็คือ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวตกลงอย่างฉับพลันประมาณร้อยละ 50 จากที่เคยคึกคักเมื่อปีก่อนหน้า

ความสูญเสียอาจไปไกลถึงระดับ 15,000-30,000 ล้านบาท

 

ความละเอียดอ่อนยิ่งไปกว่านั้น หากนำเอา “ข้อห่วงใย” จาก “แอตต้า” ประสานเข้ากับจาก นายสังศิต พิริยะรังสรรค์

1 คือ ความไม่แจ่มชัดใน “มาตรการ”

ผลเฉพาะหน้าก็คือ บริษัททัวร์ไม่สามารถตอบได้กับคำถามจากประเทศจีนว่าจะยังรักษาข้อตกลงเดิมที่เคยทำกันไว้หรือไม่

เมื่อตอบไม่ได้ ทุกอย่างก็งันและชะงัก

1 คือ ความไม่แจ่มชัดใน “ข้อปฏิบัติ” นั่นก็คือ “ถ้านโยบายของรัฐบาลเป็นแบบนี้ โรงแรมขนาด 2-3 ดาวเกือบทั่ว กทม.สามารถจะถูกจับในข้อหาอั้งยี่ได้ เพราะ โรงแรมส่วนใหญ่รับลูกค้าจากบริษัทคนไทยที่ถูกจับในข้อหาอั้งยี่ไปแล้ว”

นี่คือ ผลสะเทือนในแบบ “ลูกระนาด”

ณ วันนี้ สถานการณ์เช่นนี้อาจจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ในวันข้างหน้าหากไม่มีการกำหนดมาตรการอย่างเด่นชัดย่อมมีความล่อแหลม

ทุกอย่างจึงอยู่ในภาวะลังเล และไม่แน่ใจ

จึงมีความจำเป็นเป็นอย่างสูงที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะต้องทำความกระจ่าง เพื่อให้ทุกกระบวนการเข้ามาอยู่ในระบบ

เป็นระบบที่ “ควบคุม” และ “ตรวจสอบ” ได้

 

การเข้าไปจัดระเบียบให้กับสิ่งที่เรียกว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” มีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างแน่นอน

คำถามอยู่ที่ว่า 1 ต้องเข้าไปอย่างมีองค์ความรู้ และ 1 ต้องเข้าไปอย่างมีความรับผิดชอบ ขณะเดียวกัน จะต้องอาศัย 2 ส่วนนี้แปรเป็นกระบวนการบริหารจัดการอย่างไร

ประโยชน์จึงจะเป็น “ผลลัพธ์” อย่างเป็นจริงและเที่ยงธรรม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image