เล่าเรื่องหนัง : It’s a Wonderful Life เป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในแบบของเรา

เล่าเรื่องหนัง : It’s a Wonderful Life เป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในแบบของเรา

ปัดฝุ่นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดคลาสสิก “It’s a Wonderful Life” หนังในตำนานกลับมาดูอีกครั้ง หนังที่แทบจะลืมนึกถึงไปหลายปี เป็นหลายปีที่รวมกันถึงในระดับกว่าสองทศวรรษ จากที่เคยดูครั้งแรกสมัยเรียนมัธยม เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสาเด็กที่ยังไม่ได้พบเจอโลกกว้างใหญ่ เพียงแต่ในช่วงหลงใหลหนังเก่าคลาสสิกใครก็แนะนำว่านี่คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่ควรได้ดู มันทั้งให้กำลังใจกับชีวิตและสร้างรอยยิ้มความหวังให้กับเรา ช่วงเวลาวัยเด็กขนาดนั้นจึงดูหนังเรื่องนี้แบบเก็บความแต่เพียงเท่านั้น ไม่ได้ใคร่ครวญใดๆ

จนเมื่อเร็วๆ นี้ฟังพอดแคสต์รายการ “Readery” ของ คุณโจ้-คุณเน็ต สองนักเล่าหนังสือที่มีชีวิตชีวา จุดประกายให้ต้องไปหาหนัง It’s a Wonderful Life กลับมาดูอีกครั้ง

สองผู้ดำเนินรายการพอดแคสท์หยิบนวนิยายเรื่อง “The Midnight Library” มาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องของ “นอรา ซีด” หญิงสาวที่ป่วยโรคซึมเศร้าตัดสินใจจบชีวิตตัวเองหลังผ่านวันที่เลวร้ายที่สุด แต่แล้วก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องสมุดที่มีนาฬิกาหยุดเวลาไว้ตอนเที่ยงคืน ในห้องสมุดมีหนังสือที่บันทึกทุกความเศร้าเสียใจของนอราไว้ และที่นั่นเธอได้รับโอกาสที่จะมีชีวิตอีกครั้ง

Advertisement

นิยายตั้งคำถามที่เราๆ มักคิดกันว่า ถ้าเราได้ทำอย่างนั้นลองใช้ชีวิตแบบนี้มันคงจะดี หรือมันจะเป็นอย่างไร ซึ่งในเรื่องนอราได้ไปลองใช้ชีวิตแบบที่เคยเสียดายว่าไม่ได้เลือก ชีวิตแบบนั้นจะสร้างความสุขให้อย่างที่คิดจริงหรือไม่ และชีวิตแบบไหนที่ต้องการกันแน่ คุณโจ้และคุณเน็ตสรุปแก่นของนิยายเล่มนี้ว่า “เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจชีวิต เราแค่ต้องใช้ชีวิตก็พอ” ซึ่งผู้แต่งนิยาย The Midnight Library “แมตต์ เฮก” อดีตเคยป่วยโรคซึมเศร้าอย่างหนัก หลังรักษาจนอาการดีขึ้น เขาเขียนหนังสือถ่ายทอดมุมมองที่สร้างเสริมกำลังใจและคุณค่าของการมีชีวิต โดยได้แรงบันดาลใจมาจากหนัง “It’s a Wonderful Life” นั่นเอง

ความทรงจำในวัยเด็กย้อนเรื่องราวจากในหนังขึ้นมาทันที หนังฮอลลีวู้ดคลาสสิกปี 1946 ที่ภาพจำคือหนังที่มักจะนำมาฉายซ้ำในช่วงเทศกาลคริสต์มาสทุกปี สำหรับคนดูจากอีกฟากมหาสมุทรอย่างเรา หนังที่เคยดูเก็บความสมัยเด็ก แต่ไม่ได้ใคร่ครวญ จึงต้องถูกนำมาพินิจพิเคราะห์ถึงคุณค่าของมันกันอีกครั้ง

หนังเล่าถึงชีวิตผู้ชายคนหนึ่งที่สิ้นหวังและเตรียมจะฆ่าตัวตายในคืนวันคริสต์มาส แต่แล้วเขาก็ได้โอกาสอีกครั้งที่จะมองชีวิตอย่างมีความหวัง และได้รับความสุขตบท้ายเป็นรางวัลแห่งการมีชีวิตอยู่

Advertisement

“It’s a Wonderful Life” เล่าถึงชีวิต “จอร์จ เบลีย์” ชายชาวเมืองเบดฟอร์ด ฟอลล์ ผู้มีอุดมคติด้านความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นตั้งแต่เด็ก รักการผจญภัย และใฝ่ฝันจะได้ออกเดินทางข้ามทวีปไปเห็นโลกอันกว้างใหญ่ในดินแดนต่างๆ แต่แล้วโชคชะตาและการตัดสินใจของเขาเองก็ทำให้ “จอร์จ” ไม่ได้ออกไปทำตามความฝันของเขาเลยแม้สักครั้งจนถึงจุดสุดท้ายที่เขาคิดจะลาจากโลกนี้

ใน It’s a Wonderful Life เราได้เห็นชีวิตของคนคนหนึ่งที่เลือกให้ค่าและนึกถึงคนอื่นก่อนเสมออย่าง “จอร์จ” ที่ผ่านชีวิตมาแบบคนที่มองเห็นคนอื่นได้ทำตามฝันกันถ้วนหน้า แต่ตัวเขาเองต้องละทิ้งทุกโอกาส ตั้งแต่ไม่ได้ออกเดินทางไปผจญภัยต่างแดนตามตั้งใจ และเลือกจะไม่เรียนต่อระดับวิทยาลัยเพื่อเอาเงินเก็บของที่บ้านส่งให้น้องชายเรียนแทน และเหนืออื่นใดเขาเลือกจะแบกรับช่วงต่อธุรกิจเพื่อสังคมของพ่อที่แสนน่าหนักอกหนักใจ ซึ่งจอร์จต้องต่อกรกับเศรษฐีจอมโหดประจำเมืองที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ด้วยจิตสำนึกที่เขารู้สึกว่าต้องมีใครทำสิ่งดีๆ อย่างที่พ่อของเขาทำเพื่อคนในเมืองเบดฟอร์ด ฟอลล์

“จอร์จ” ใช้ชีวิตผ่านไปเรื่อยๆ เห็นเส้นทางเดินชีวิตของน้องชายที่ได้ไปร่ำเรียนต่างถิ่น แต่งงานมีครอบครัว มีหน้าที่การงานของตัวเอง เห็นน้องชายมีโอกาสรับใช้ชาติเป็นนักบินสู้รบในสงครามโลกครั้งที่สองที่ช่วยชีวิตผู้คนจนเป็นฮีโร่ได้รับการเชิดชูจากประธานาธิบดี ส่วนเขาไม่เข้าเกณฑ์เข้าร่วมรบได้ เพราะหูหนวกข้างหนึ่งตั้งแต่สมัยเด็กที่ไปช่วยน้องชายจมน้ำ

ตัดกลับมาที่ชีวิตอันยุ่งเหยิงของ “จอร์จ” ที่ต้องสู้รบกับทั้งเศรษฐีร้ายประจำเมือง และพยายามบริหารธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมให้อยู่รอดได้ จนวันหนึ่งเกิดเรื่องที่ทำให้เขาต้องถูกฟ้องล้มละลาย เป็นหนี้สินและติดคุกได้ “จอร์จ” เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองถึงทุกอย่างที่ผ่านมา เขาเดินเศร้าหมองหมดอาลัยตายอยากไปที่สะพาน เตรียมตัดสินใจจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายในคืนวันคริสต์มาส แต่ทันใดนั้น “จอร์จ” ก็ได้รับโอกาสราวปาฏิหาริย์ให้เห็นอีกด้านของเรื่องราว ด้านที่ถ้าไม่มีจอร์จอยู่บนโลกใบนี้ตั้งแต่ต้น ชีวิตคนอื่นๆ จะเป็นอย่างไร ซึ่งในที่สุด “จอร์จ” ก็ได้เห็นว่าเรื่องราวดีๆ หลายอย่างในชีวิตของคนอีกหลายคนในเมืองก็จะไม่เกิดขึ้นด้วยเช่นกันถ้าไม่มีเขาอยู่บนโลกใบนี้ และนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ “จอร์จ” ได้เห็นคุณค่าของการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

แม้ “It’s a Wonderful Life” จะจบลงในแบบหนังฟีลกู้ด และทำให้คนเรามีความหวังอีกครั้งในชีวิตด้วยการที่บอกว่า “เราอาจจะเป็นใครสักคนที่มีความหมายต่อผู้อื่นก็ได้”

แต่ในอีกทางหนึ่ง เราก็อาจเป็นชีวิตเล็กๆ ที่ไม่ต้องสลักสำคัญอะไรเลยก็ได้ ไม่ต้องมีผลต่อใครก็ได้เช่นกัน ไม่ต้องมีเรื่องราวให้ใครจดจำก็ย่อมได้ และถ้ามันไม่เป็นอย่างที่ฝันก็แค่ต้องใช้ชีวิตต่อไป เหนืออื่นใดคือขอให้เป็นชีวิตที่ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายคนอื่น… “เป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในแบบของเราก็พอ”

(ภาพประกอบ Youtube Video / Paramount Movies)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image