คนฝึกได้ – สัตว์เลี้ยงฝึกดี โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร

“มนุษย์” เป็นสัตว์ที่ต่างจากสัตว์ทั้งหลาย

“สัตว์” อยู่ได้ด้วย “สัญชาตญาณ” พอมันเกิดมาสัตว์ทั้งหลายก็ช่วยตนเองได้แทบจะทันที หลังจากแม่มันกัดแทะลอกรกที่หุ้มลูกตัวอ่อนที่ออกมา สัตว์บางประเภทเริ่มหาอาหารช่วยตนเองได้เลย ว่ายน้ำได้เลย บินได้เลย เช่น ห่าน เป็ด ไก่ ออกจากไข่ตอนเช้า อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา แม่ห่านออกมาจากเล้าลงสระ ลูกห่านก็วิ่งตามลงสระ มันเดิน วิ่งได้เลย แม่ลงว่ายน้ำลูกลงว่ายน้ำตามได้เลย และแม่มันไปคุ้ยหาอาหารกินมันก็จิกไปด้วย สัตว์ทั้งหลายมีอีกจำนวนมากเป็นอย่างนั้น

แต่ “มนุษย์” ไม่มีความสามารถอย่างนี้เลย มนุษย์เกิดจากท้องแม่วันนั้น ถ้าไม่มีคนช่วยทำคลอดก็ตายแน่นอน อย่าว่าแต่วันนั้นเลย ให้อยู่ครบ 1 เดือน ถึง 1 ปี ก็ยังหากินเองไม่ได้ ทำอะไรก็ช่วยตนเองไม่ได้ แม้แรกคลอด แพทย์ พยาบาล คนทำคลอดก็ยังต้องมีการดูดน้ำคร่ำ น้ำมูก น้ำลาย ออกจากปาก ลำคอ จมูกเด็กทารก และตบตูดกระตุ้นให้เด็กร้องอุแว้ ให้มีการหายใจเร็วที่สุด ว่าด้วยสัญชาตญาณมนุษย์ เป็น “สัตว์ที่แย่ที่สุด” ชนิดหนึ่ง อะไรๆ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ ต้องฝึก อบรม กล่อมเกลา (Socialization) แทบไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ ด้วยสัญชาตญาณเลย วิธีการอะไรก็ตามที่มนุษย์ใช้ดำเนินชีวิต แม้แต่การนั่ง ตั้งไข่ คลาน ยืน เดิน จนถึง กิน นอน การพูด การขับถ่าย มนุษย์ “ต้อง” ได้มาด้วยการเรียนรู้ ด้วยการฝึกจากพ่อแม่และคนเลี้ยงดู แต่การฝึกเรียนรู้ที่เป็น “จุดอ่อน” ของมนุษย์นี่แหละ กลับเป็นข้อดีหรือข้อได้เปรียบของมนุษย์ พูดได้ว่า “มนุษย์มีดีก็ตรงที่ฝึกได้นั่นเอง”

นับแต่วันที่มนุษย์เกิดมา มนุษย์ก็สามารถเรียนรู้ ในการฝึกสอน ถ่ายทอด ความรู้ ความคิด สิ่งที่สั่งสม อบรม มาเขียนเป็นพันปี หมื่นปี ล้านปี ได้ในเวลาไม่นาน ต่างจากสัตว์ชนิดอื่นที่เก่งด้าน “สัญชาตญาณ” แต่สัญชาตญาณมีเท่าใดเมื่อเกิดมา ก็ “คงอยู่เท่านั้น” ไม่มีการพัฒนา เกิดด้วยสัญชาตญาณใด ก็ตายไปด้วยสัญชาตญาณนั้น เรียนรู้ได้น้อยอย่างยิ่ง

Advertisement

ดังนั้น มนุษย์ที่เรียนรู้ฝึกฝนแล้ว จึงประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลายอื่นๆ สัตว์ทั้งหลายไม่มีอะไรเก่งเท่ามนุษย์ด้านการฝึก พอมีการฝึกขึ้นมาแล้วมนุษย์ก็ “เก่งที่สุด” สัตว์ทั้งหลายอื่นอยู่ได้แค่สัญชาตญาณ ส่วนมากฝึกตัวเองไม่ได้เลย บางชนิดฝึกได้บ้างคือมนุษย์จับมาฝึกให้เก่งขึ้นมาบ้าง เช่น “ช้าง” ที่คนฝึกให้ก็มีขอบเขตของการฝึกอีก ฝึกเกินกว่านั้นก็ไปไม่ได้ ต่างจากมนุษย์ มนุษย์ฝึกมาแล้ว ฝึกต่อตัวเองได้ เรียกว่า ฝึกปรือครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นการพลิกแพลงให้เป็นภาคพิเศษ ภาคพิสดารได้ โดยไม่ต้องหาใครมาฝึกแล้ว เรียกว่าฝึกตนไปได้อย่างแทบไม่มีข้อจำกัดเลย เรียกว่า ฝึกอย่างมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ หรือพระพุทธเจ้าก็ได้

พระพุทธเจ้านั้นเราถือเป็น “สรณะ” เพราะเป็นตัวอย่างของบุคคลที่ฝึกคนให้เห็นว่า มนุษย์เรานี้สามารถฝึกฝนพัฒนาคนได้ขนาดนี้ ถือว่าฝึกตนจนกระทั่ง ไม่มีทุกข์ ไม่มีกิเลส มีปัญญาค้นพบสัจธรรม ความดีเลิศอะไรๆ ก็ทำได้หมด ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า “วรมสฺสตรา ทนฺตา” สัตว์ทั้งหลาย เช่น สุนัข วัว ควาย ช้าง ม้า อะไรต่างๆ เหล่านี้ ฝึกแล้วเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เทียมเท่ามนุษย์ มนุษย์ฝึกแล้วประเสริฐไม่มีใครมาเทียมเท่า ฝึกไปฝึกมาพัฒนาตนจนกระทั่งเทวดา พระพรหม ก็น้อมนมัสการกลับมาบูชา “มนุษย์”

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องนี้ไว้ว่า เพื่อให้มนุษย์ตระหนักในศักยภาพของตนในการฝึกฝนพัฒนา แต่รวมแล้วมนุษย์ก็เป็นสัตว์ที่ประเสริฐได้ด้วยการฝึก ต้องฝึกฝนพัฒนา แต่รวมแล้วมนุษย์ก็เป็นสัตว์ที่ประเสริฐได้ด้วยการฝึก ต้องฝึกฝนพัฒนาตนเอง พอฝึกแล้วก็พัฒนาตนเองได้อย่างไม่มีขีดจำกัด เมื่อเรามองตัวว่าเป็นสัตว์ที่ฝึกตนเองได้ ก็เห็นว่าการอยู่ใน “สังคม” และการ “ทำงาน” อาชีพต่างๆ นั้น เป็นเรื่องของการฝึกฝนพัฒนาตนทั้งนั้น โดยเฉพาะการงานอาชีพนั้นๆ เป็นชีวิตส่วนใหญ่ของเรา ถ้าเราจะฝึกฝนตนให้ดีมาก เราจะต้องฝึกกับงานของเรานี้ เพราะว่างานเป็นชีวิตส่วนหนึ่งของเรา จะฝึกจากเรื่องอื่นก็ไม่ค่อยได้เท่าไร เพราะโอกาสมีน้อย ดังเช่น ท่านพระอาจารย์ ว. วชิรเมธี ระบุว่า…

Advertisement

คนของโลกใช่เพราะโลกเข้ามาช่วย แต่เป็นด้วยการฝึกการศึกษา

ปาฏิหาริย์ไม่มีหรอกเขาบอกมา อยากลือชางามอุโฆษโปรดจงฟัง

บรูซลีกังฟูเหมือนงูฉก ไทเกอร์กอล์ฟกองเป็นของขลัง

เดอะบีทเทิ่ลเร่งร้องจนท้องพัง จอร์แดนฝังตัวไว้ในลูกบอล

เจ้าบิลเกตส์ฝันเป็นคอมพิวเตอร์ สตีฟเธอเป็นแอปเปิ้ลไม่เข็นขอน

เจเดเขียนจนหมึกหมาดขาดลอนดอน เบคแฮมนอนในสนามมาถามโวย

ผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีใครที่ไม่ฝึก ต่างกรำศึกหมื่นชั่วโมงอยู่โยงโหวย

มันสมองสองมือฝึกปรือโปรย ต้องโอดโอยอาบน้ำตามาทั้งนั้น

แต่เพราะฝึกเพราะซ้อมจึงพร้อมพรัก เพราะใจรักไม่ปล่อยวางไม่หลับฝัน

ความสำเร็จหวานหอมจึงพร้อมพลัน มากำนัลอย่างล้ำลึก… “ผู้ฝึกตน”

หันมาดูในสัตว์บางชนิดบ้าง โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่พอฝึกได้ ฝึกวันแล้ววันเล่า จนเป็นที่โปรดปรานของเจ้าของ รักหวงแหน เอามาโอบอุ้มกอด ไปไหนๆ พาไปด้วย ไปจ่ายตลาดไปเที่ยวไหนๆ ก็จะใส่กระเป๋าหรือขับรถเก๋งนั่งหน้าต่าง บางรายก็จะเอาไป “นอนบนเตียง” ห้องแอร์ด้วย ประมาณว่าเป็น “น้องหมา น้องแมว แสนรู้” เรียกว่าเป็นสัตว์ที่โปรดปราน บางรายเป็นสัตว์เศรษฐกิจ เปิดวิก เปิดละคร หารายได้ให้ครอบครัวได้อีกทางหนึ่ง หรือไม่ก็เพาะพันธุ์ขายสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำก็มีให้เห็น

พบว่ามีงานวิจัยเรื่อง Friend of Benefit : On the Positive Consequences of Pet Ownerships ที่ทำขึ้นโดยนักจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยไมอามี และมหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ ชี้ว่าบุคคลที่มีสัตว์เลี้ยงและเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงนั้นๆ จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า และมีคุณภาพที่หลากหลายมากกว่าบุคคลที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงในอุปการะในหลายๆ ทาง กล่าวคือ บุคคลที่มีสัตว์เลี้ยงจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าตระหนักในสิ่งที่ตนคิดและทำมากกว่า มีร่างกายที่แข็งแรงกว่า และมีแนวโน้มในความอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยวรวมไปจนถึงมีความหวาดกลัวน้อยกว่าบุคคลที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง บทบาทของสัตว์เลี้ยงในฐานะแหล่งสนับสนุนบางอารมณ์ให้แก่เจ้าของนั้นมีมากมายมากพอๆ กับที่จะได้รับจาก “มนุษย์” ด้วยกันเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ในด้านอื่นๆ ของสัตว์เลี้ยง เช่น งานวิจัยของ ดร.เอริก้า ฟรายต์แมน จากมหาวิทยาลัยเมืองนิวยอร์ก พบว่า “คนไข้โรคหัวใจ” ที่มีสัตว์เลี้ยงไว้ในครอบครอง มีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าคนไข้ที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงมากถึงสองในสาม และยังมีอัตราการเสียชีวิตจากภาวะโรคหัวใจหยุดเต้น (Cardiac Arrest) น้อยกว่าถึงสามเปอร์เซ็นต์ โดยแต่ละปีนั้นจะมีผู้เสียชีวิตจากภาวะโรคหัวใจหยุดเต้นหนึ่งล้านคนทั่วโลก การมีสัตว์เลี้ยงจึงช่วยชีวิตมนุษย์มากถึง 30,000 ชีวิตต่อปีเลยทีเดียว

สัตว์ที่ผู้เขียนยกตัวอย่าง เช่น สุนัข และแมวที่ได้รับการ “ฝึกฝน” (Training) ยังเป็นตัวช่วยชั้นดีสำหรับคนปกติ คนมีสุขภาพแข็งแรงเป็นต้นทุนเดิม จะทำให้มีสุขภาพจิตดี มีอารมณ์ดีเพราะมีเมตตาจิต มีกรุณาจิต ที่ดีเป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว

แต่ที่ดีกว่านั้นคือ ดีสำหรับ “ผู้ป่วย” ที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ รวมถึงผู้ป่วยที่ติดยาเสพติด โรคซึมเศร้า โรคออทิซึ่ม และโรคสมองเสื่อม เพราะ “สัตว์เลี้ยง” ที่แสนรู้ เชื่อง อารมณ์ดี จะสามารถยอมรับ “ตัวตน” ของเจ้าของได้อย่างไม่แบ่งแยกและไร้เงื่อนไข ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวนั้นมีผลดีต่อ “ผู้ป่วย” แน่นอน แต่การบำบัดจะต่างกันออกไปอย่างแน่นอน

บางแห่งที่นอกจากบ้านแล้ว ที่ทำงาน เช่น ห้องสมุดบางแห่งในสหรัฐอเมริกา มีสุนัขไว้บริการด้วย เพื่อช่วยลดความเครียด ลดความดันโลหิตสูง เพิ่มพลังทางบวก แต่ที่สำคัญช่วยสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ โดยสุนัขเป็นตัวแทนการบำบัด สำหรับคนวัยกลางคน วัยหมดระดู หลายช่วงอายุ แม้ผู้สูงอายุให้มีความสุข อารมณ์ดี เมื่อได้เห็นได้พูดคุย หรือแหย่เล่น หยอกล้อกับเจ้าสุนัขแสนรู้ตัวนั้น

บางสายการบิน เช่น United Airlines ก็มีโปรแกรมสำหรับผู้โดยสารร่วมกิจกรรม ไม่ว่าจะลูบหัว กอด หรือเล่น งานวิจัยโดย ดร.วอลเตอร์ วูล์ฟ ชี้ว่าการปฏิบัติที่มนุษย์มีต่อสุนัขจะทำให้ฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความผูกพันหลั่งออกมา ทำให้ระบบการหายใจดีขึ้น ความดันโลหิตลดลง พลอยทำให้เครียดลดลงด้วย

ที่ประเทศออสเตรเลียมีโครงการหนึ่ง ชื่อโครงการ Delta Therapy Dogs ที่เปิดโอกาสให้อาสาสมัครนำสุนัขเดินทางมาเยี่ยมเยือนโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อเพิ่มความสดใสและให้กำลังใจคนไข้

บริษัท Hub Spot มีนโยบายให้นำสัตว์เลี้ยงมาทำงานด้วยในที่ทำงาน โดยพนักงานบริษัทพึงพอใจและประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นทั้ง 278% เมื่อมีสัตว์เลี้ยงอยู่ใกล้ในรัศมี 3 เมตร

และยังพบว่า “แมว” เองก็ทำหน้าที่ได้ไม่แพ้สุนัข แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความอยากรู้อยากเห็นสูง แถมยังมีจิตวิทยาสูงด้วย แมวจึงสัมผัสอารมณ์ของคนได้ดี มีการศึกษาพบว่าเมื่อผู้ป่วยถูกรายล้อมไปด้วยแมวแล้ว จะมีความสุขหลั่งออกมาและช่วยบรรเทาอาการป่วยได้อย่างดี

ผู้เขียนเองเชื่อว่าท่านสมาชิก เพื่อนๆ มนุษย์ด้วยกัน หากพิจารณาด้วยการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง “มนุษย์” ที่เป็นสัตว์ประเสริฐ มีจิตวิญญาณน้อยกว่าสัตว์ (เลี้ยง) ต้องมีการเรียนรู้ ฝึกฝน ฝึกปรือ เพื่อการงานอาชีพครองชีวิต ครองตน ครองคน ครองงาน และเวลาส่วนใหญ่ของเราอยู่กับงานทั้งนั้น บางโอกาสบางคราวแม้เราบรรลุเป็น “มหาบุรุษ” ตามที่กล่าวแล้วความเป็นปุถุชนคนธรรมดาย่อมมีข้อบกพร่อง พลาดพลั้งบ้าง ประมาณว่า “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้งได้” การพัฒนาตนเอง สำรวจตนเอง ทบทวนปรับปรุงตนเอง อย่าประมาทเป็นสำคัญยิ่ง แต่การดำรงชีวิตหาใช่ว่า “งาน” เป็นทุกอย่างของชีวิต… ความสุขและสนุกเพลิดเพลิน และสนุกอย่างมีปัญญา งานได้ผล หากเรามีเจ้าสัตว์เลี้ยงแสนรู้ ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว ก็ตามแต่

เขาบอกกันว่า “บุคคลที่มีสัตว์เลี้ยงและเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงนั้นๆ จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า และมีบุคลิกที่หลากหลายมากกว่าบุคคลที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงไว้ในอุปการะในหลายๆ ทาง “เชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไร” ทดลองเลี้ยงสัตว์น่ารักดูได้ ลองแล้วไม่ดีก็เลิกได้ แล้วแต่วิจารณญาณของท่านนะครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image