ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
ภาพที่ ออง ซาน ซูจี พร้อมกับ ส.ส.พรรคสันติบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก
งดงาม น่าตื่นตา ตื่นใจ
งดงามจากกระบวนการของ “การเลือกตั้ง” อันสะท้อน “อาณัติ” อันยิ่งใหญ่แห่ง “เจตจำนงร่วม” ของชาวเมียนมา
ยืนยัน “อำนาจอธิปไตย” เป็นของ “ปวงชน” อย่างเป็นจริง
น่าตื่นตา ตื่นใจ เพราะมีบางกลุ่ม บางส่วนคาดหมายว่าจะไม่ปรากฏลักษณะแห่งการปรองดองสมานฉันท์
ตรงกันข้าม คือ ลักษณะแห่งการประนอม “ประโยชน์”
กลุ่มของทหารซึ่งครองอำนาจใน “อดีต” ให้การยอมรับต่อการแสดงออกของชาว
เมียนมา ขณะเดียวกัน พรรคสันติบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ก็นุ่มนวล อ่อนหวาน
นั่นก็คือ ไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า
ผลก็คือ คนจากพรรคสันติบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ได้รับเลือกเข้าดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร
การจัดตั้ง “รัฐบาล” ยังไม่เกิดขึ้น แต่คงไม่นานเกินรอ
บทเรียนอย่างสำคัญจากพัฒนาการระบอบประชาธิปไตยในเมียนมาที่ก่อให้เกิดการตื่นตะลึงเป็นอย่างสูงแก่ประชาคมโลก
เป็น “บทเรียน” จากการเลือกของ “ประชาชน”
ถามว่ารัฐธรรมนูญของเมียนมาอันประกอบสร้างขึ้นจาก “ปัญญาประดิษฐ์” ของรัฐบาลทหารซึ่งครองอำนาจอย่างยาวนานต้องการอะไร
1 ต้องการดำรงอยู่และครอง “อำนาจ” ต่อไป
ขณะเดียวกัน 1 ก็กีดกัน กลั่นแกล้ง
ออง ซาน ซูจี และพรรคสันติบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) อย่างเต็มพิกัด
ถามต่อว่าแล้วทำได้หรือไม่
คำตอบเห็นได้ชัดยิ่งจากผลของการเลือกตั้งโดย “ประชาชน” มีความพยายามแต่มิอาจฝืนและต้านกระแสของความต้องการของ “ประชาชน” ได้
ประชาชนต้องการ “ตะโกน” ขึ้นพร้อมๆ กัน
นั่นก็คือ ต้องการบอกให้ “ทหาร” รู้ว่า พอแล้วระบอบอันสืบทอดมาจากนายพล
เนวิน ขอให้ยุติหรือระงับยับยั้ง ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับพัฒนาการแห่งระบอบประชาธิปไตยของประชาคมในทางสากล
ขณะเดียวกัน ก็ต้องการมือของ ออง ซาน ซูจี มา “ประนอม” ประโยชน์
ต้องยอมรับว่า มิใช่อยู่ๆ ปวงชนแห่ง
เมียนมาอันเป็นเจ้าของ “อำนาจ” จะเปล่งเสียงออกมาอย่างเป็นเอกภาพและพร้อมเพรียงกันเช่นนี้
“ผล” ย่อมมีมาแต่ “เหตุ”
การอยู่ใต้อำนาจแห่ง “ทหาร” มาอย่างยาวนานบ่มเพาะและสร้างจุดร่วมในทางความคิดอันนำไปสู่สภาพที่เรียกว่า
“สมารมณ์” อันงดงาม
กระบวนการกีดกัน กลั่นแกล้ง นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้เหตุผล ไม่มีความเป็นธรรม สะสมให้นำไปสู่การปฏิเสธ
เป็นการปฏิเสธอย่าง “อารยะ”
ความเห็น “ร่วม” ในลักษณะ “สมารมณ์” จึงไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีลักษณะ “ปฏิวัติ” ในสังคมแห่งเมียนมาเท่านั้น
หากแต่ยังส่ง “แรงสะเทือน” ไปทั่วโลก
ยืนยันกฎอันเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งที่ว่า ที่ใดมีแรงกด ที่นั้นย่อมมีแรงต้าน ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่งที่เหมาะสมและเป็นคุณ
เป็นคุณต่อ “ประชาชน” เป็นคุณต่อ “ประชาธิปไตย”
ณ ที่ใดมี “แรงกด” ณ ที่นั้นย่อมมี “แรงต้าน” นี่เป็นหลักสากลในทางกายภาพ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว คนเรายังโง่ ตำราเรียนเก่าระบุ ถามว่าปัจจุบันคนเราเป็นอย่างไร ยังโง่อยู่หรือไม่
คนจำนวนหนึ่งยังคิดว่า คนเรายัง “โง่” และจำเป็นต้องมีคนมาชี้นิ้ว บอกให้ทำอย่างนั้น บอกให้เชื่ออย่างนี้ หากไม่คิดว่าคนอื่น “โง่” คนจำนวนหนึ่งคงไม่ทำอย่างที่เห็นและเป็นอยู่
ชาวเมียนมาได้ “ตื่นรู้” อย่างเด่นชัดแล้ว สัมผัสได้