ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
ที่เห็นและเป็นไป : วัด ‘ชะตากรรมประเทศ’ โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ
ความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้ มีสัญญาณบางอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าจะเป็นการวัดคุณภาพทางการเมืองไทยครั้งสำคัญว่าจะทำให้ประเทศชาติดำเนินไปพัฒนาการของโลกที่ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงได้พอที่จะเป็นความหวังต่ออนาคตของประชาชน โดยเฉพาะรุ่นหลังๆ หรือไม่
พรรคการเมืองกำลังจัดทัพเพื่อเตรียมเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่
การจัดเตรียมที่สำคัญคือ การคัดสรรผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง
ความน่าสนใจอยู่ที่ แนวทางของพรรคในการเตรียมผู้สมัคร
สิ่งที่เหมือนกันคือทุกพรรคต่างปรารถนาให้ได้ผู้สมัครที่ประสบความสำเร็จ ได้รับชัยชนะจากเขตที่ลงสมัครเหมือนกัน
เพียงแต่อ่านคุณสมบัติของผู้ที่ส่งสมัครให้ประสบความสำเร็จต่างกัน
อย่างคร่าวๆ ก็แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ตามความเชื่อ
พรรคการเมืองกลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่เชื่อว่า ผู้สมัครที่จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งคือผู้ที่สร้างฐานเสียงในพื้นที่ไว้มั่นคง สร้างเครือข่ายดูแลประชาชนอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง เป็นนักการเมืองที่ได้รับเลือกมาก่อน ยิ่งหลายสมัยยิ่งดี เพราะหมายถึงความเป็นผู้มีอิทธิพล บารมีในระดับสั่งได้
เป็นกลุ่มที่เชื่อว่าการตัดสินใจเลือกใครของประชาชนขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ในอดีตที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา ยังอยู่ในกรอบที่ให้ความสำคัญกับพลังขับเคลื่อนของระบบอุปถัมภ์
นักการเมืองส่วนใหญ่ เป็นเช่นนี้ ทั้งพรรคที่มีสรรพกำลังมาก และพรรคที่ไม่ค่อยมีอะไรเป็นเครื่องมือสร้างคะแนนเสียง
ขบวนการดูด ส.ส.จากพรรคอื่นเข้ามาเป็นเครือข่ายของตัวเอง เกิดจากความเชื่อเช่นนี้
เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับอิทธิพล บารมี มากกว่าคุณภาพในเรื่องความรู้ความสามารถของผู้สมัคร ขอเพียงมีคุณสมบัติที่เคยสร้างฐานคะแนนได้มาก่อนก็จะเป็นตัวเลือกที่พรรคฝากความหวังไว้
แต่อีกฟากหนึ่งเดินการเมืองไปทางตรงกันข้าม
กลุ่มนี้เชื่อว่าสังคมไทย คนไทยเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงของโลกแล้ว
กลุ่มนี้ทำงานการเมืองด้วยความเชื่อในข้อมูลสมัยใหม่ ผ่านโลกออนไลน์ที่เห็นและรับรู้ว่าความเชื่อ และความคิดของผู้คน โดยเฉพาะรุ่นใหม่ที่เป็นพลังขับเคลื่อนทุกสิ่งอย่างในปัจจุบัน เปลี่ยนไปแล้ว
คนกลุ่มนี้เห็นพฤติกรรมของผู้คนที่ทดท้อกับสังคมที่คนรุ่นเก่ากำหนดกะเกณฑ์ล้อมกรอบอนาคตไว้ในความสิ้นหวัง
เชื่อว่าความคิดความอ่านที่กำหนดการตัดสินใจเลือกของประชาชน ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ที่ให้ ที่ดูแลกันมาอีกแล้ว
เชื่อว่าคนยุคนี้มองไปที่โอกาสการพัฒนาประเทศ ที่จะส่งผลต่อโอกาสในอนาคตของพวกเขา หรือเลยไปถึงรุ่นลูก รุ่นหลานของพวกเขา ที่ก้าวพ้นไปจากสภาวะที่มองไม่เห็นช่องทางการพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น
ทั้งที่โลกทั้งโลกกำลังเคลื่อนห่างออกไปอยู่ต่อหน้าต่อตา แต่นักการเมืองทั้งหลายยังจมโข่งอยู่กับพฤติกรรมที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย
พรรคการเมืองกลุ่มนี้ เชื่อว่าประชาชนยุคใหม่ปรารถนาการเมืองที่เป็นคุณภาพแบบใหม่ ไม่ใช่การดูแลพื้นที่ ทุกข์สุขประจำวัน ซึ่งเอาเข้าจริงเป็นงานของข้าราชการที่นักการเมืองเข้ามาแย่งทำ เพราะทำอะไรอื่นจากการใช้อำนาจของระบบเจ้าขุนมูลนายแบบเดิมๆ ไม่ได้
สิ่งที่พรรคการเมืองกลุ่มนี้เชื่อคือ นักการเมืองที่มีคุณภาพในแบบที่เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก นำเสนอแนวทางของพรรค และคุณภาพของผู้สมัครผ่านโลกออนไลน์ที่อยู่ในมือของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่แทบทุกคนเข้าถึงทันทีที่ตื่นนอน และหลับลงในโลกเสมือนนี้อยู่ทุกวี่ทุกวัน
เป็นพรรคการเมืองที่เชื่อมั่นในการสร้างคะแนนนิยมผ่านวัฒนธรรมใหม่ และเชื่อว่าการสร้างฐานเสียงแบบเก่านั้นลดอิทธิพลต่อการตัดสินใจของประชาชนไปแล้ว
เป็นการเมืองที่อธิบายได้ถึงคุณภาพที่จะนำพาประเทศไปสู่อนาคตโดยไม่ต้องละล้าละลังกับการต้องใส่ใจกับนักการเมืองที่ยังเวียนหัวอยู่กับความสับสนว่าตัวเองมีหน้าที่อะไร
ความเข้มข้นของการต่อสู้ระหว่าง 2 แนวทาง 2 ความเชื่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ว่าจะมาถึงเมื่อไรก็ตาม จึงมีความน่าสนใจยิ่ง
เพราะหมายถึงที่มาของคำตอบว่า “การเมืองไทยจะก้าวข้ามคุณภาพเดิม ไปสู่คุณภาพใหม่” ได้หรือไม่
หรือยังต้องจมอยู่กับค่านิยมและวัฒนธรรมการเมืองแบบเดิมๆ ต่อไปไม่รู้จบ
แต่ก็นั่น สัจธรรมหนึ่งในทางการเมืองคือ
“คุณภาพของนักการเมือง ย่อมสะท้อนคุณภาพของประชาชนในประเทศเสมอ”
เพราะประชาชนส่วนใหญ่เป็นอย่างไร ก็จะได้ “นักการเมืองส่วนใหญ่” เป็นอย่างนั้น
และ “นักการเมืองส่วนใหญ่” จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประเทศ และชีวิตประชาชน