สภาวะ สั่นไหว กรณี ‘แม่ผ่องพรรณ’ ปม ‘จริยธรรม’

ปัญหาอันเกิดกับ “แม่ผ่องพรรณ” ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ปัญหาอันเกิดกับ “คอนเทมโพรารี” ที่ค่ายทหารจังหวัดทหารบกพิษณุโลก หากเกิดขึ้นโดดๆ

ก็ไม่น่ามีปัญหา ก็ไม่น่ายืดเยื้อ

ปมเงื่อนเพราะมี “คู่เปรียบเทียบ” ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบกับแวดวง “ทหาร” ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบกับแวดวง “การเมือง”

จึงกลายเป็นประเด็น และทำท่าว่าไม่สามารถจบลงง่ายๆ

Advertisement

ยิ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งกำลังประสบกับประเด็นคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวเป็นเงินถึง 3.5 หมื่นล้านบาท

ยิ่งกลายเป็นประเด็น และเจาะทะลวงลงไปฝังลึก

“ทุกอย่างที่นายกฯ ยืนยันออกมาจากปากท่านว่า การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับคดีดิฉันเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้ง

Advertisement

“ก็อยากให้นายกฯใช้หลักคิดและให้ความเป็นธรรมกับดิฉันเหมือนที่ท่านให้ความเป็นธรรมและปกป้องน้องชายท่าน รวมทั้งคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับท่าน เพราะกฎหมายมีไว้บังคับใช้กับทุกคนไม่ใช่เลือกปฏิบัติกับฝั่งดิฉันเพียงฝ่ายเดียว”

เป็นเรื่อง

14528370_1306582892708957_1056947953_n

หากสดับตรับฟังจากคำชี้แจง ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่า นายวิษณุ เครืองาม ซึ่งล้วนเป็นรองนายกรัฐมนตรี

เริ่มมีความชัดแจ้ง เป็นลำดับ

ชัดแจ้งว่า กรณี “แม่ผ่องพรรณ” เป็นความปรารถนาดีจากสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

เป็นการทำงานร่วมและให้ความช่วยเหลือ “ชาวบ้าน”

ชัดแจ้งว่า กรณี “คอนเทมโพรารี” ก็เป็นเรื่องซึ่งกระทำไปตามระเบียบในการจัดซื้อ จัดจ้างของกองทัพภาคที่ 3

มีการประกวดราคา มีคณะกรรมการตรวจสอบ

ชัดแจ้งว่า แม้สำนักงาน “คอนเทมโพรารี” ที่ไปจดทะเบียนด้วยเงินทุน 1.5 ล้านบาท ก็เป็นเรื่องของบริษัท ไม่เกี่ยวกับ “ปลัดกระทรวงกลาโหม”

ปลัดกระทรวงกลาโหมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า มีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท

แม้จะเป็นบ้านเดิมซึ่งปลัดกระทรวงกลาโหมเคยพำนักอยู่ในห้วงที่ดำรงตำแหน่งเป็น “แม่ทัพกองทัพภาคที่ 3” ก็ตาม

จึงเป็นเรื่องของ “ลูก” ไม่มีอะไรเกี่ยวกับ “บิดา”

เป็นความชัดแจ้งที่ในที่สุด คณะกรรมการโดยกองทัพบก หรือแม้กระทั่งคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ก็น่าจะออกมาเช่นเดียวกับกรณี “อุทยานราชภักดิ์”

นั่นก็คือ 9 ต่อ 0 สุจริต

 

กระนั้น แหล่งข่าวจาก “นายทหาร” ระดับสูงแห่งกองทัพภาคที่ 3 ก็ออกมายอมรับในเรื่อง “คอนเทมโพรารี” ใน 2 ประเด็นใหญ่

1 ถึงจะจัดตั้งใน “ค่ายทหาร” ก็สามารถ “ทำได้”

นี่เป็นไปเช่นเดียวกับคำรับรองอันมาจาก นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับและดูแลงานด้านกฎหมายของรัฐบาล

กระนั้น ข้อสังเกต 1 ของแหล่งข่าวจากกองทัพภาคที่ 3 ก็คือ

“ถ้าถามถึงเรื่องความเหมาะสมก็มองว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นพื้นที่ทางราชการและจะถูกตั้งข้อสงสัย”

คำถามก็คือ ตั้ง “ข้อสังสัย” อย่างไร

ตรงนี้ใกล้เคียงกับบทสรุปและข้อสังเกตอันมาจาก นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์

นั่นก็คือ “สิ่งที่ทำแม้ไม่ผิดก็น่าเกลียด”

เพราะเมื่อยื่นซองเข้าประมูลโครงการของกองทัพภาคที่ 3 ใครๆ ก็รู้อยู่ว่าอดีตแม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 เป็นใคร

เพียงแต่เห็น “นามสกุล” ก็หนาวยะเยือก ถ้วนหน้า

 

บทสรุปในด้าน “น่าเกลียด” บทสรุปในด้าน “ไม่เหมาะสม” จึงเป็นเรื่องในทางจริยธรรม มิใช่ในทางนิติธรรม

เรื่องในทางจริยธรรมมากด้วยความละเอียดอ่อน เป็นความละเอียดอ่อนซึ่งเหลื่อมซ้อนระหว่างศีลธรรมกับนิติธรรม มากด้วยความอ่อนไหว ประณีต

ประณีตจนสะเทือนถึงต่อมแห่ง “คุณธรรม”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image