ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
เผยแพร่ |
ปัญหาอันเกิดกับ “แม่ผ่องพรรณ” ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ปัญหาอันเกิดกับ “คอนเทมโพรารี” ที่ค่ายทหารจังหวัดทหารบกพิษณุโลก หากเกิดขึ้นโดดๆ
ก็ไม่น่ามีปัญหา ก็ไม่น่ายืดเยื้อ
ปมเงื่อนเพราะมี “คู่เปรียบเทียบ” ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบกับแวดวง “ทหาร” ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบกับแวดวง “การเมือง”
จึงกลายเป็นประเด็น และทำท่าว่าไม่สามารถจบลงง่ายๆ
ยิ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งกำลังประสบกับประเด็นคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวเป็นเงินถึง 3.5 หมื่นล้านบาท
ยิ่งกลายเป็นประเด็น และเจาะทะลวงลงไปฝังลึก
“ทุกอย่างที่นายกฯ ยืนยันออกมาจากปากท่านว่า การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับคดีดิฉันเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้ง
“ก็อยากให้นายกฯใช้หลักคิดและให้ความเป็นธรรมกับดิฉันเหมือนที่ท่านให้ความเป็นธรรมและปกป้องน้องชายท่าน รวมทั้งคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับท่าน เพราะกฎหมายมีไว้บังคับใช้กับทุกคนไม่ใช่เลือกปฏิบัติกับฝั่งดิฉันเพียงฝ่ายเดียว”
เป็นเรื่อง
หากสดับตรับฟังจากคำชี้แจง ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่า นายวิษณุ เครืองาม ซึ่งล้วนเป็นรองนายกรัฐมนตรี
เริ่มมีความชัดแจ้ง เป็นลำดับ
ชัดแจ้งว่า กรณี “แม่ผ่องพรรณ” เป็นความปรารถนาดีจากสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
เป็นการทำงานร่วมและให้ความช่วยเหลือ “ชาวบ้าน”
ชัดแจ้งว่า กรณี “คอนเทมโพรารี” ก็เป็นเรื่องซึ่งกระทำไปตามระเบียบในการจัดซื้อ จัดจ้างของกองทัพภาคที่ 3
มีการประกวดราคา มีคณะกรรมการตรวจสอบ
ชัดแจ้งว่า แม้สำนักงาน “คอนเทมโพรารี” ที่ไปจดทะเบียนด้วยเงินทุน 1.5 ล้านบาท ก็เป็นเรื่องของบริษัท ไม่เกี่ยวกับ “ปลัดกระทรวงกลาโหม”
ปลัดกระทรวงกลาโหมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า มีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
แม้จะเป็นบ้านเดิมซึ่งปลัดกระทรวงกลาโหมเคยพำนักอยู่ในห้วงที่ดำรงตำแหน่งเป็น “แม่ทัพกองทัพภาคที่ 3” ก็ตาม
จึงเป็นเรื่องของ “ลูก” ไม่มีอะไรเกี่ยวกับ “บิดา”
เป็นความชัดแจ้งที่ในที่สุด คณะกรรมการโดยกองทัพบก หรือแม้กระทั่งคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ก็น่าจะออกมาเช่นเดียวกับกรณี “อุทยานราชภักดิ์”
นั่นก็คือ 9 ต่อ 0 สุจริต
กระนั้น แหล่งข่าวจาก “นายทหาร” ระดับสูงแห่งกองทัพภาคที่ 3 ก็ออกมายอมรับในเรื่อง “คอนเทมโพรารี” ใน 2 ประเด็นใหญ่
1 ถึงจะจัดตั้งใน “ค่ายทหาร” ก็สามารถ “ทำได้”
นี่เป็นไปเช่นเดียวกับคำรับรองอันมาจาก นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับและดูแลงานด้านกฎหมายของรัฐบาล
กระนั้น ข้อสังเกต 1 ของแหล่งข่าวจากกองทัพภาคที่ 3 ก็คือ
“ถ้าถามถึงเรื่องความเหมาะสมก็มองว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นพื้นที่ทางราชการและจะถูกตั้งข้อสงสัย”
คำถามก็คือ ตั้ง “ข้อสังสัย” อย่างไร
ตรงนี้ใกล้เคียงกับบทสรุปและข้อสังเกตอันมาจาก นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
นั่นก็คือ “สิ่งที่ทำแม้ไม่ผิดก็น่าเกลียด”
เพราะเมื่อยื่นซองเข้าประมูลโครงการของกองทัพภาคที่ 3 ใครๆ ก็รู้อยู่ว่าอดีตแม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 เป็นใคร
เพียงแต่เห็น “นามสกุล” ก็หนาวยะเยือก ถ้วนหน้า
บทสรุปในด้าน “น่าเกลียด” บทสรุปในด้าน “ไม่เหมาะสม” จึงเป็นเรื่องในทางจริยธรรม มิใช่ในทางนิติธรรม
เรื่องในทางจริยธรรมมากด้วยความละเอียดอ่อน เป็นความละเอียดอ่อนซึ่งเหลื่อมซ้อนระหว่างศีลธรรมกับนิติธรรม มากด้วยความอ่อนไหว ประณีต
ประณีตจนสะเทือนถึงต่อมแห่ง “คุณธรรม”