พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก : CIA…คือเขี้ยวเล็บของอเมริกา

คอลัมน์ภาพเก่าเล่าตำนาน : CIA…คือเขี้ยวเล็บของอเมริกา โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

ภาพยนตร์ที่เร้าใจ สะกดจิตคนดูได้ชะงัด…ต้องเกี่ยวกับ “ซีไอเอ”

ผู้คนติดกันงอมแงม…คาดเดาไม่ถูกว่าเรื่องจะ “เดิน” ไปทางไหน

เป็นเรื่องจริงบ้าง แต่งเติมบ้าง เจ้าหน้าที่ซีไอเอ เป็นทั้งคนดี คนร้าย มีการทำงานที่คาดไม่ถึง สลับซับซ้อน ทั้ง “สำเร็จ” และ “ล้มเหลว”

ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาราว 10 ปีมานี้ เน้นช่วงที่ทหารสหรัฐไปทำสงครามในตะวันออกกลาง ต้องเผชิญกับมหันตภัย ที่แลกกันด้วยชีวิต…

Advertisement

งานการข่าวในดินแดนข้าศึก…ยากแสนเข็ญ

เจาะประเด็นเข้ามาในประเทศไทย…

ราว 70 ปีที่ผ่านมา ซีไอเอมีบทบาท “สูงเด่น” ในไทย-ลาว

Advertisement

“ซีไอเอ” คือ ผู้บัญชาการรบ “สงครามโหดในลาว” …ยาวนานราว 10 ปี …อดีตนักรบทั้งหลายในไทย ในอเมริกา ยังคุยกันมิรู้เบื่อ

ราว พ.ศ.2500 คอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือ ภายใต้การสนับสนุนของโซเวียตและจีน กำลังสยายปีก เบ่งกล้ามโตในภูมิภาค

วอชิงตันกร้าว…ต้องสกัดกั้นลัทธิคอมมิวนิสต์…เริ่มส่ง “เจ้าหน้าที่การข่าว” เข้ามาทำงาน เตรียมการ

ประเทศไทยที่ “รักใคร่” กับสหรัฐ…ถูกเลือกเป็น “ฐานปฏิบัติการ”

ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย “จับมือแน่น”…

การทำงานทั้งหมดเป็นขั้น “ลับที่สุด” มีนายทหาร ตำรวจไม่กี่คนที่ทราบเรื่อง…ที่เหลือ คือ ผู้ปฏิบัติ… แกไม่ต้องรู้อะไรมาก

สงครามในลาว “ระอุ” …ฝ่ายขวาที่สหรัฐสนับสนุน “ทรุดลง”

หน่วยงาน OSS (ต่อมาคือ ซีไอเอ) เข้ามาไทย เข้าไปในลาว เพื่อจัดตั้งกองกำลัง… ฝึกชาวม้งลาวหลายหมื่นคน ติดอาวุธ เพื่อสู้รบกับคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือ

ซีไอเอตัวพ่อ ชื่อ บิล แลร์ (Bill Lair) และทีมงานไม่กี่คนถูกส่งเข้ามาทำงาน “ลับมาก” ในไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 เป็นบุรุษผู้พลิกโฉมหน้าประเทศไทย ลาว

นายทหาร นายสิบ ตำรวจไทย (ที่ทำเรื่องขอลาออกจากราชการ) เด็กหนุ่มไทยอาสาไปรบในลาวเป็นผลัด หมุนเวียนประมาณ 4 หมื่นคน… ฝึกจากไทยไปรบดุเดือดในลาว คือ ผลงานของซีไอเอ

กรมตำรวจไทย สมัยอธิบดี พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ กลายเป็น “กองทัพตำรวจ” ที่แข็งแกร่ง

บิล แลร์ คือ ผู้ที่ริเริ่มการฝึกโดดร่มให้ ตชด. จัดหายานเกราะ ช่วยตั้งหน่วยตำรวจน้ำ อาวุธทุกชนิดหลั่งไหลมาสู่กรมตำรวจ

บิล แลร์ คือ เด็กหนุ่มจบวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Texas A&M มีบุคลิกภาพที่หน่วยข่าวกรอง “เลือกตัว” ไปฝึกเป็นทหาร ฝึกการรบแบบกองโจร จิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เข้ามาทำงานในไทยแบบ ลื่นไหล ใช้เวลาไม่นาน…รู้จักมักคุ้นกับผู้นำระดับสูงของไทย

ซีไอเอ ถูกสั่งให้เข้ามาสถาปนาให้ไทยเป็น “ปราการหลัก” ในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม ลาว กัมพูชา

ราชการ เอกชน สังคมไทยเปลี่ยนไปลิบลับ จากฝีมือของซีไอเอ ที่มีนโยบายที่จะขจัดลัทธิคอมมิวนิสต์

เงินของซีไอเอ เยอะ ยั่วยวน ทำเรื่องยากเป็นเรื่องง่ายเสมอ

คน เงิน อาวุธ การบริหารจัดการ ความแนบแน่นกับผู้มีอำนาจในประเทศ “เจ้าบ้าน” (Host Country) คือ ภารกิจของซีไอเอ ที่ต้อง “รักษาผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา” เป็นไปตามนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ

เรื่องสงครามลับในลาว พ.ศ.2507-2516 …มีหนังสือ มีสารคดี มีภาพยนตร์ ที่เปิดเผย ตีแผ่ออกมาสู่สังคมโลก “มหาศาล”

ซีไอเอที่เป็นพระเอกของภาพยนตร์สารคดี ออกมาเล่าวีรกรรมเอง… สำหรับคนไทยยังมีใครบางคนยัง “พร่ำเพ้อ” ว่าเป็นความลับ…

(ผู้เขียนผลิตสารคดี “สงครามลับในลาว 2 ตอน ใช้ชื่อ ปู่แป๊ะ” อยู่ในยูทูบ สัมภาษณ์นักรบตัวจริงจากสมรภูมิ ลองเปิดชมนะครับ)

อเมริกาปฏิเสธชาวโลกว่า ไม่มีทหารอเมริกันในลาวที่รบกับเวียดนามเหนือ…ก็เป็นเรื่องจริงเพราะเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย คือ ซีไอเอ ไม่ใช่ทหาร

สภาคองเกรสที่อนุมัติเงินมหาศาล ก็ไม่รู้ว่าซีไอเอเข้าไปทำอะไรในลาว รวมทั้งบางส่วนในไทย…

ฐานทัพอากาศสหรัฐ 7 แห่ง ในไทย (ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้) ถนน ทางหลวงสายต่างๆ ในภาคอีสาน ส่วนหนึ่งก็เป็นผลงานของซีไอเอ ที่นำเงินมาจัดสร้างให้…

ซีไอเอ บัญชาการทำสงครามกองโจรในลาวแบบ “โลกไม่ลืม” ยืดเยื้อนานราว 10 ปี.. ลาว คือ ประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดใส่มากที่สุดในโลก

พ.ศ.2516 …ประธานาธิบดีสหรัฐสั่งยุติการทำสงครามในลาว เวียดนาม กัมพูชา …ซีไอเอ ต้องถอนตัวจากลาว

ซีไอเอ ที่เข้าไป “บัญชาการรบ” ในลาว …มีน้ำใจ…กดดันรัฐบาลวอชิงตันให้รับ “ชาวม้ง” นับแสนคน (พร้อมครอบครัว) ที่เคยช่วยมะกันรบกับเวียดนามเหนือในลาว…หนีตายมาตั้งหลักในไทย..แล้วให้อพยพไปตั้งต้นชีวิตใหม่ในอเมริกานับแสนคน

ซีไอเอ ทำงานอยู่ทั่วโลกนะครับ มิใช่เฉพาะในไทย…

ขอย้อนประวัติของหน่วยงานซีไอเอ

18 กันยายน 2490 โดยประธานาธิบดีทรูแมน (Harry S. Truman) อนุมัติจัดตั้งหน่วยงานซีไอเอ (Central Intelligence Agency) หรือหน่วยข่าวกรองกลาง

ก่อนหน้านั้น…อเมริกามี “หน่วยข่าวกรอง” นามหน่วยว่า OSS (Office of Strategic Services) ที่ทำงานอยู่ทั่วโลก

OSS เคยมีบทบาทการทำงานร่วมกับ “เสรีไทย” และรัฐบาลไทยตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

พ.ศ.2488 (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) หน่วย OSS ของอเมริกา โดยพลตรี นิโคล สมิธ ได้รับคำสั่งให้เข้ามาจัดตั้งสำนักงานในกรุงเทพฯ ประสานงานกับกลุ่มเสรีไทย ที่ต้องเคลียร์ปัญหาใหญ่เรื่องที่ไทยไปเข้าร่วมกับญี่ปุ่น…

ริชาร์ด กรีนลี (Richard Greenlee) และ พันตรี จอห์น เวสเตอร์ (Maj. John Wester) เป็นเจ้าหน้าที่ OSS สองคนแรกที่มาถึงกรุงเทพฯ

เจ้าหน้าที่ทั้งสองนาย เป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดการกับทรัพย์สิน ธุรกิจรวมทั้งอาวุธของกองทัพญี่ปุ่นในไทยที่แพ้สงคราม

หลังสงคราม…“อังกฤษ” …หื่นกระหายจะเอาเรื่องรัฐบาลไทย ห้าวหาญ จะให้ไทยจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามในฐานะ “ผู้แพ้สงคราม”

เจ้าหน้าที่ซีไอเอ ในไทยที่ทราบเรื่องดี คุ้นเคยกับผู้นำของไทยเป็นอย่างดี คือ ผู้ไกล่เกลี่ย ช่วยไทยเอาไว้อย่างหวุดหวิด

(ไทยต้องจ่ายเป็น ข้าวสาร จำนวน 1.5 ล้านตันให้อังกฤษ…)

เจ้าหน้าที่ OSS ระดับ “มือพระกาฬ” ที่ถูกส่งเข้ามากรุงเทพฯ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ คือ นายอเล็กซานเดอร์ แมคโดนัลด์ (MacDonald) และจิม ทอมป์สัน (Jim Thompson)

(จิม ทอมป์สัน ต่อมากลายเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจผ้าไหมไทย)

สงครามโลกครั้งที่ 2 ตามด้วยสงครามเกาหลี และเหตุการณ์ขับไล่ฝรั่งเศสออกจากเดียนเบียนฟู สถานการณ์โลกเปลี่ยนเป็น “สงครามเย็น”

หลังสงครามโลก…อเมริกาส่งเจ้าหน้าที่กลับเข้ามาประจำสถานทูตในกรุงเทพฯ รวมทั้งเอกอัครราชทูต…มุ่งเน้นงานการข่าว…

ทีมงานข่าวกรองมะกัน เข้ามาทำงานในไทย หลายระลอก หลายทีม มีเก่าไป ใหม่มา บ้างก็ได้ภรรยาคนไทย ทำธุรกิจในไทย

เหตุการณ์ทางการเมือง การรัฐประหาร การเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย อยู่ในจอเรดาร์ของซีไอเอ…ถูกบันทึกเก็บไว้อย่างเป็นระบบ มีชั้นความลับ ใครเป็นใคร ใครสนับสนุนใครในทางการเมือง การค้า เศรษฐกิจ

ซีไอเอ พบปะพูดคุยกับทุกฝ่าย…เพราะทุกคนคือ แหล่งข่าว

นายธนาคาร เจ้าสัว ทหาร ตำรวจ นักการเมืองทุกฝ่าย นักศึกษา ครู อาจารย์ในมหาวิทยาลัย ฯลฯ คือ แหล่งข่าว ที่จะนำข้อมูลทั้งหมดมา “ประมวลผล” และ “ดำเนินกรรมวิธี” เป็น “ข่าวกรอง”

นี่เป็นภารกิจของเค้านะครับ…ซึ่งก็ดำเนินการอยู่ทั่วโลก แม้กระทั่งในกลุ่ม “ตรงข้าม” กับผลประโยชน์ของสหรัฐก็ต้องพยายาม “ซื้อตัว-ซื้อข่าว”

ไม่มีกติกาใดๆ ในโลกห้ามไว้…ทุกประเทศสามารถมี “หน่วยข่าวกรอง” ที่ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง จะเป็นหน่วยขนาดใหญ่ กลาง เล็ก …มีฝีมือมาก-น้อย ก็เป็นเรื่องแล้วแต่ “ฝีมือ”

เสือต้องดุ พริกต้องเผ็ด เกลือต้องเค็ม หน่วยข่าวต้องรู้จริง…

อเมริกาพญาอินทรี เป็น “มหาอำนาจของโลก” ก็ต้องจัดจ้าน ต้องเก่งที่สุดใน 3 โลก หน่วยข่าวกรองต้องทำทุกอย่าง “เพื่อการตัดสินใจ” ของผู้นำประเทศ

แต่ที่ “สุดยอดของงานข่าว” คือ รู้ล่วงหน้า รู้การตัดสินใจของผู้นำประเทศ ที่จะเป็นผลประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ ต่ออเมริกา

ผลประโยชน์ของอเมริกา ต้องมาก่อน…เป็นอันดับ 1

คนทั้งโลกก็ทราบดี ว่านี่คือภารกิจของซีไอเอ ตรงไปตรงมา

มีคำกล่าวว่า…กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เป็นเพียงตัวแสดงหน้าฉากกับชาวโลก แต่ซีไอเอคือ “ผู้ปฏิบัติ” นโยบายต่างประเทศสหรัฐตัวจริง…

ประธานาธิบดีสหรัฐจะเป็นผู้เลือก ผู้อำนายการซีไอเอ

คนทั่วโลกรู้ดีว่า ซีไอเอทำอะไร เป็นบวก เป็นลบ เป็นคุณ เป็นโทษ บางครั้งถึงแม้จะขัดผลประโยชน์ ไม่พอใจ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อพลังอำนาจที่หน่วยงานนี้ทุ่มเท ถาโถมเข้าใส่

หลายเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าโลก คือ ฝีมือของหน่วยซีไอเอ

การนำพาบุคคลสำคัญของประเทศไปรักษาพยาบาลในอเมริกา ก็เป็นเรื่องที่ “ชนะใจ” และทำงานได้ผลมาทุกราย

กลางปี พ.ศ.2501 ช่วงการเมืองไทยกำลังขับเคี่ยว…มีข่าวรัฐประหารลอยมาหอมฉุย… ซีไอเอเชิญจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ป่วยหนัก บินไปผ่าตัดม้ามที่โรงพยาบาลวอลเตอร์รีด สหรัฐอเมริกา

ซีไอเอจัดให้จอมพลสฤษดิ์ได้เข้าพบบุคคลสำคัญของอเมริกา ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ นายนีล แมคเอนรอย รัฐมนตรีกลาโหม นายฟอสเตอร์ ดัลเลส รัฐมนตรีต่างประเทศ ทั้งหมดนี้เพื่อเจรจาร่วมมือด้านการทหาร พัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อร่วมมือกันต่อต้านคอมมิวนิสต์

จอมพลผ้าขาวม้าแดง เรียนรู้จากอเมริกา…กลับมา สั่งตั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อให้เป็นเครื่องมือเศรษฐกิจแนวเสรีนิยม

วอชิงตัน ส่งคนมาช่วยวางแผน ระบบเศรษฐกิจ การเงิน การธนาคาร ให้ธนาคารโลกดูแลการพัฒนาประเทศในสมัยจอมพลสฤษดิ์

3 เหล่าทัพของไทย ได้รับการช่วยเหลือแบบเต็มพิกัด มีทุนการศึกษาให้นายทหาร 3 เหล่าทัพ และทุนการศึกษาต่อของข้าราชการพลเรือน อาจารย์มหาวิทยาลัย…

ไม่ผิดเลยที่จะกล่าวว่า…อเมริกาช่วย “จัดตั้งกองทัพไทย”

ในบันทึกของซีไอเอ มีสิ่งที่คนทั่วโลกกระหายใคร่รู้ทั้งนั้น

ในอดีตที่ผ่านมา ซีไอเอเคยบาดหมางกับผู้นำระดับสูงของไทยในทางการเมืองในหลายโอกาส

ธุรกิจการค้าระดับโลก การเมือง การทหาร การจัดซื้ออาวุธ ใครซื้อจากใคร แล้วส่งต่อให้ใคร เทคโนโลยีที่พัฒนาไม่หยุด ซีไอเอต้องทราบ

CIA เป็นหน่วยงานเดียวที่กฎหมายอนุญาตให้ดำเนินการและควบคุม “ปฏิบัติการลับ” ตามบัญชาของประธานาธิบดีสหรัฐ หน่วยงานนี้มีอิทธิพลทางการเมืองต่างประเทศโดยอาศัยหน่วยงานทางยุทธวิธีของตน โดยเฉพาะ “หน่วยพิเศษ”

แปลเป็นภาษาไทยเข้าใจง่ายๆ คือ CIA ลงไม้-ลงมือได้

หน่วยงานนี้ สามารถสนับสนุนคณะบุคคลทางการเมืองและรัฐบาลต่างประเทศหลายรายในหลายด้านที่เป็นผลประโยชน์ต่อสหรัฐ

ซีไอเอ ที่มีชื่อเล่นเรียกว่า แลงลีย์ (Langley) ตามชื่อสถานที่เมืองของสำนักงานใหญ่ที่อยู่ในรัฐเวอร์จิเนีย

การเมือง การทหาร การปกครอง ประวัตินักการเมืองจากทั่วโลก ถูกบันทึกไว้อย่างเป็นระบบพร้อมบทวิเคราะห์

หนังสือสารคดี แนวการเมือง การปกครอง ของไทยในอดีต ใช้ข้อมูลของซีไอเออ้างอิง เป็นหลักฐานถูกนำมาตีแผ่จำนวนมาก

ผู้อำนวยการคนปัจจุบัน คือ วิลเลียม เจ. เบิร์น (William J. Burns) ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 19 มีนาคม 2564

ล่าสุด…ซีไอเอ ประกาศรับสมัครชาวอเมริกันรุ่นใหม่ที่ดีที่สุดและเก่งที่สุดอายุ 18-35 ปี ให้เข้ามาร่วมงานกับ CIA โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเพศสภาพ เชื้อชาติ หรือพื้นเพด้านวัฒนธรรมใดๆ

จะต้องเป็นพลเมืองอเมริกันหรือแม้จะมีสองสัญชาติก็ได้ อายุ 18 ปีขึ้นไป และผ่านการตรวจสอบประวัติด้านความมั่นคงและด้านสุขภาพ

รับสมัครนักวิเคราะห์ด้านคอมพิวเตอร์ นักวิเคราะห์ด้านการทหาร กราฟิกดีไซเนอร์ นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี นักวิเคราะห์ด้านอาวุธ และตำแหน่งนักทำแผนที่จากข้อมูลต่างๆ ที่รวบรวมมาได้ ซึ่งตำแหน่งนี้มีบทบาทสำคัญต่อการวิเคราะห์ด้านข่าวกรอง

เกือบทุกตำแหน่งจะต้องมีวุฒิปริญญาตรีหรือโทด้วย การมีทักษะด้านภาษาอื่นๆ นอกเหนือจากภาษาอังกฤษจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ สำหรับนักศึกษา… CIA มีทุนการศึกษาให้ระดับปริญญาตรี เพื่อรองรับแรงงานรุ่นใหม่ที่จะเข้าร่วมองค์กร โดยมีทุนการศึกษาสูงสุดถึง 25,000 ดอลลาร์ต่อปี สำหรับนักศึกษาที่เรียนด้านไอที การเงิน และด้านนโยบายต่างประเทศ

เป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก…ต้องเก่งที่สุด…แพ้ใครไม่ได้…

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image