ผู้เขียน | ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ |
---|
การพบเชื้อกลายพันธุ์ “โอไมครอน” ที่ระบาดลุกลามขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็วในเวลานี้ สร้างความตระหนกไปทั่วโลก
อันที่จริง อย่าว่าแต่คนทั่วไปจะตื่นตกใจเลยครับ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองยังตกใจเมื่อได้เห็นข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับไวรัสตัวนี้จาก สถาบันโรคติดต่อแห่งชาติ (เอ็นไอซีดี) ของแอฟริกาใต้
เหตุผลก็คือ ไม่เคยพบกันมาก่อนว่า ซาร์ส-โควี-2 หรือไวรัสที่ก่อโรคโควิด-19 จะเกิดการกลายพันธุ์เป็นกลุ่มเป็นก้อนได้มากมายถึง 50 จุดเช่นนี้
นอกจากนั้น ตำแหน่งที่กลายพันธุ์ส่วนใหญ่ คือ 32 ตำแหน่ง ดันไปกระจุกรวมกันอยู่ในบริเวณ สไปค์ โปรตีน หรือโปรตีนหนามที่เจ้าไวรัสใช้สำหรับจับเกาะกับเซลล์ในร่างกายมนุษย์อีกต่างหาก
ทั้งยังมีอยู่ 10 ตำแหน่ง ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนของโปรตีนหนาม ที่เรียกว่า “รีเซปเตอร์ ไบน์ดิง โดเมน” หรือ “อาร์บีดี” ของไวรัส
อาร์บีดีมีความหมายอย่างยิ่งในแง่ของการแพร่ระบาด เพราะอาร์บีดี เป็นส่วนที่ไวรัสจะใช้สัมผัสกับส่วนที่เป็น “รีเซปเตอร์” ของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “เอซ2”
มันไม่ได้สัมผัสเฉยๆ ครับ แต่จะ “ผูกพันธะ” (ไบน์ดิง) เข้ากับเอซ2 แล้วใช้เป็นช่องทางทะลวงลึกเข้าไปถึงนิวเคลียสของเซลล์ของมนุษย์เพื่อยึดครอง
เมื่อใดที่ไวรัสเข้าถึงนิวเคลียสของเซลล์ได้ ก็เท่ากับว่ามันยึดเซลล์ที่ว่านี้เป็นของมันเองไปแล้ว จากนั้นก็จะใช้เซลล์ของเรานี่แหละเป็น “โรงงานผลิตไวรัส” เพื่อกระจายออกมาในร่างกาย จับเกาะกับเซลล์ตัวอื่นๆ ต่อไป
นั่นคือกระบวนการทำงานของเชื้อโรคนี้โดยคร่าวๆ เพื่อให้เข้าใจได้ว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์ถึงได้ตกอกตกใจนัก เมื่อได้เห็นการกลายพันธุ์ของเชื้อโอไมครอน
ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก กำลังขะมักเขม้นกับการค้นหาคำตอบสำคัญที่ว่า การกลายพันธุ์แต่ละตำแหน่ง แต่ละจุดของโอไมครอน ส่งผลให้ตัวไวรัสเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ทำให้มันแพร่ได้เร็วขึ้น แพร่ได้ดีขึ้นหรือไม่? แพร่แล้วทำให้ผู้ที่ได้รับเชื้อมีอาการหนักมากกว่าเชื้อกลายพันธุ์เดิมๆ ทั้งหลายหรือไม่? มันดื้อ หรือสามารถต้านทาน หลบเลี่ยง ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ ทั้งที่เกิดจากการกระตุ้นของวัคซีนและที่เกิดจากที่ร่างกายผลิตขึ้นมาหลังจากติดเชื้อกลายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่? และมากน้อยแค่ไหน?
นักวิทยาศาสตร์รู้ว่า มีการกลายพันธุ์ 2-3 ตำแหน่งของโอไมครอน ที่เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับการกลายพันธุ์ในเชื้อกลายพันธุ์ก่อนหน้านี้ แต่อีกส่วนใหญ่ที่เหลือ ไม่รู้เลยเพราะเพิ่งเคยเห็นเกิดขึ้นกับโอไมครอนนี่แหละ
ทำให้ต้องเร่งหาคำตอบกันอยู่ในขณะนี้ และคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง อย่างน้อย 2 สัปดาห์ (หลังพบเชื้อ) เรื่อยไปจนถึง 4 สัปดาห์
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ นักวิทยาศาสตร์ต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า “สูโดไวรัส” (Pseudoviruses) ที่มีการกลายพันธุ์ครบถ้วนกระบวนความเหมือนโอไมครอนให้ได้เสียก่อน แล้วจะทดลองเพื่อดูผลการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
คำตอบเหล่านี้ จะเป็นเครื่องชี้ชัดว่า โอไมครอนเป็นข่าวร้ายหรือข่าวดีสำหรับมนุษยชาติ
ข่าวคราวเกี่ยวกับโอไมครอนที่ผ่านมา ค่อนไปในทางเป็นข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี
เช่น ผู้ที่พบว่าติดเชื้อกลายพันธุ์นี้ ส่วนหนึ่งเคยฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มมาแล้ว และมีหลายรายในแอฟริกาใต้ที่เป็นการ “ติดเชื้อซ้ำ”
นั่นหมายความว่า ขีดความสามารถในการหลีกเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันของโอไมครอน เหนือกว่าเชื้อกลายพันธุ์อื่นๆ ที่ผ่านมา
แต่ส่วนที่เป็นข่าวดีก็คือ ผู้ที่ติดเชื้อโอไมครอน ส่วนหนึ่งไม่แสดงอาการป่วยเลย อีกส่วนหนึ่งออกอาการเล็กน้อย อย่างเช่น ไอ ปวดหัว
ผู้ที่ติดเชื้อโอไมครอนแล้ว อาการหนักที่สุด จัดว่าอยู่ในระดับอาการป่วยปานกลางของอาการที่เกิดขึ้นเมื่อติดเชื้อกลายพันธุ์อื่นๆ เท่านั้นเอง
ทั้งหมดนั่นเป็นแค่การตั้งข้อสังเกต ไม่ได้เกิดจากการมีหลักฐานทั้งเชิงสถิติและเชิงวิทยาศาสตร์ยืนยันนะครับ แต่ก็ทำให้ผู้เชี่ยวชาญบางคนคาดหวังว่า ไม่แน่นัก การพบเชื้อกลายพันธุ์โอไมครอนที่ทำทีทำท่าว่าจะเป็นเรื่องร้ายก็อาจกลับกลายเป็นข่าวดีได้ในที่สุด
นักระบาดวิทยาบางคนระบุว่า วิวัฒนาการของไวรัสเกิดขึ้นเพื่อให้ตัวมันสามารถดำรงอยู่ได้ เพื่อให้เป็นไปตามนั้น ไวรัสจึงมักวิวัฒน์ไปในทางที่ แพร่ได้ง่าย ได้เร็ว แต่มีพิษสงน้อยลงเรื่อยๆ ตามลำดับ จนในที่สุดก็จะกลายเป็นโรคระบาดประจำถิ่น ที่จะคร่าชีวิตคนที่เป็นสถานที่สิงสู่ของมันก็ต่อเมื่อเกิดเงื่อนไขประจวบเหมาะบางอย่าง เช่น การมีโรคประจำตัว หรืออื่นๆ เป็นต้น
เขาบอกว่า ไม่แน่นัก โอไมครอนอาจเป็นขั้นตอนแรกหรือวิวัฒนาการเริ่มต้นที่นำไปสู่สถานการณ์ที่ว่านั้น แต่จะจริงหรือไม่ มีหลักฐานอะไรยืนยัน มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์
ก็ต้องรอลุ้นเอาจากคำตอบจากงานวิจัยของไวรัสร้ายตัวนี้นั่นเองครับ