ภาพเก่าเล่าตำนาน : ช่วงมืดมิด…ในแดนอาทิตย์อุทัย

ภาพเก่าเล่าตำนาน : ช่วงมืดมิด....ในแดนอาทิตย์อุทัย นี่คือ “ข้อมูลสำคัญยิ่ง”

นี่คือ “ข้อมูลสำคัญยิ่ง” ณ ช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น…ผู้บันทึก คือ ศ.ดิเรก ชัยนาม ที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ส่งไปเป็นเอกอัครราชทูตไทยในญี่ปุ่น …ในขณะที่กองทัพญี่ปุ่นบุกผ่านไทย

ขอย้อนไปดูตัวตนของชาวญี่ปุ่น…ที่มีประวัติยาวนานหลายพันปี อยู่บนเกาะในทะเล โดดเดี่ยว มี “วิถีชีวิต” ที่เป็นเอกลักษณ์ เคยทรุดโทรม เคยรุ่งโรจน์ ยากแค้น มั่งคั่ง เคยปิดประเทศนาน 220 ปี ไม่ติดต่อคบหา ไม่ขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้อะไรทั้งนั้นจากชาติตะวันตก…

ญี่ปุ่นไม่ชอบฝรั่ง…

ชาวญี่ปุ่นถูกปลูกฝังว่าเผ่าพันธุ์ของตนสืบเชื้อสายมาจากพระอาทิตย์ เหนือชั้น เหนือศักดิ์กว่าชนชาติอื่น ต้องเป็นชนชาติผู้นำ

Advertisement

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติ… ญี่ปุ่นเป็น 1 ในประเทศสัมพันธมิตรหลักที่ชนะสงคราม ได้เข้าร่วมสิทธิประโยชน์ในสนธิสัญญาแวร์ซาย

ญี่ปุ่น …ถูกยอมรับจากกลุ่มประเทศสัมพันธมิตร จัดให้เป็นชาติมหาอำนาจ 1 ใน 5 ชาติหลังสงคราม (อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส อิตาลี และญี่ปุ่น)

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงเป็นยุคทองของชาวอาทิตย์อุทัย… ภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของชาติตน และคิดไปว่าชาติอื่นๆ คงยอมให้ญี่ปุ่นยิ่งใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย

Advertisement

ลูกหลานซามูไรภายใต้การนำของทหารที่ปกครองประเทศ ทะเยอทะยาน จะเป็นมหาอำนาจเบอร์ 1 ในทวีปเอเชียให้ได้

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นอันเกรียงไกรเปิดฉากการรุกราน ทำสงคราม แย่งยึดดินแดนในจีน เกาหลี และแม้กระทั่งสหภาพโซเวียต แบบที่โลกตะวันตกไม่พอใจ

อเมริกาที่เฝ้าดูญี่ปุ่นเกเร ไปจับมือกับอังกฤษ ประกาศปิดล้อม มิให้มีการส่งน้ำมันและสินค้าเข้าเกาะญี่ปุ่น

7 ธันวาคม 2484 กองทัพญี่ปุ่นบินไปถล่มฐานทัพเรือสหรัฐในเกาะฮาวาย ขอท้ารบ เดิมพันด้วยชีวิต เพื่อตอบโต้อเมริกาที่มา “กดดัน-บีบคั้น-ปิดล้อม” ญี่ปุ่นที่กำลังจะขอพุ่งทะยานก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจในเอเชีย…ทหารญี่ปุ่นรบสุดใจขาดดิ้นกับอเมริกัน

4 ปีผ่านไป อเมริกานำลูกระเบิดปรมาณู มาทิ้งใส่เกาะญี่ปุ่น 2 ลูก ชาวบูชิโดตายไปราว 1.5 แสนคน

“ชาวญี่ปุ่น” คือ ชนชาติเดียวในโลกที่โดนปรมาณู

7 ธันวาคม 2484 กองทัพญี่ปุ่นบุกไทยเพื่อผ่านไปยังพม่า…

25 ธันวาคม 2484 รัฐบาลไทยลงนามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น

การเมืองในประเทศไทยสับสนอลหม่าน กลุ่มที่คัดค้าน จอมพล ป. มีไม่น้อย ทหารญี่ปุ่นนับหมื่นเข้ามาตั้งค่ายหลายจังหวัดในไทย

การเมืองระหว่างประเทศต้องปรับโฉม ต้องเปลี่ยน “ผู้เล่น”

5 มกราคม 2485 ศ.ดิเรก ชัยนาม และคณะ รวม 7 คน ออกเดินทางไปกรุงโตเกียว ซึ่งท่านเลือกทีมงานไปด้วยดังนี้…

นายทวี ตะเวทิกุล นายถนัด คอมันตร์ นายกนต์ธีร์ ศุภมงคล นายฉันท์ สมิตเวช นายเทียม ลดานนท์ และ นายสละ ศิวรักษ์

1 กันยายน 2485 พลเอกโตโจ ประกาศจัดตั้ง “กระทรวงกิจการมหาเอเชียบูรพา” (Ministry of East Asia Affairs) เพื่อจะรวมประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกให้กระชับแน่นยิ่งขึ้น ญี่ปุ่นต้องอาศัยดินแดนในเอเชียเพื่อ “ทรัพยากรและเป็นฐานทัพ”

รัฐบาลญี่ปุ่นยุบกระทรวงกิจการโพ้นทะเล (Ministry of Overseas Affairs) ก่อนตั้งกระทรวงใหม่นี้

ขั้นตอนแรก คือ การสร้าง “วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา” (Co-Prosperity Sphere of Greater East Asia)

รัฐมนตรีต่างประเทศ โตโง ประกาศขอลาออก เพราะไม่เห็นด้วย

ในเวลานั้น กองทัพญี่ปุ่น คือ ผู้ปกครองประเทศตัวจริง

ผู้นำกองทัพญี่ปุ่นเห็นว่าญี่ปุ่นมีภารกิจ …ต้องนำเอเชีย จะต้องลบล้างอิทธิพลของชาติตะวันตกออกไปให้หมดสิ้นจากเอเชีย

การสถาปนามหาเอเชียบูรพาสำเร็จ ญี่ปุ่นจะเป็นจักรวรรดิที่เลี้ยงตัวเองได้ ญี่ปุ่นจะเป็นผู้นำทั้งด้านจริยธรรมและวัฒนธรรมของเอเชีย

ญี่ปุ่นจะเป็นเสมือน “ประทีปของเอเชีย” (Light of Asia)

ดินแดนอาทิตย์อุทัยพลิกผันตัวเอง เก่งขั้นเทพ ในอุตสาหกรรมหนัก บริษัทมิตซุยมีบริษัทลูกราว 150 บริษัท ผูกขาด ครองตลาดการค้าในประเทศถึงราวร้อยละ 15 ดำเนินการโดยคนในครอบครัว

นอกจากนี้ยังมี บริษัทมิตซูบิชิ สุมิโตโม ยาซูดา ฯลฯ

บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในญี่ปุ่นที่ร่ำรวย “ร่วมมือกับกองทัพ” ในการไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีน

มีการสมรส เกี่ยวดองกัน ระหว่างบุคคลสำคัญอย่างแน่นแฟ้น

พ.ศ.2432 ญี่ปุ่นประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรก เมื่อยกเลิกระบบฟิวดัล

(ระบบฟิวดัล หมายถึง ระบบเจ้าครองนคร ระบบเจ้าขุนมูลนาย หรือบ้างใช้ว่า ศักดินาสวามิภักดิ์ เป็นระบบการเมืองผสมผสานระหว่างกฎหมาย เศรษฐกิจ การทหารและวัฒนธรรม เคยรุ่งเรืองในทวีปยุโรปยุคกลางตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ถึง 15: ผู้เขียน)

ศ.ดิเรก ชัยนาม ที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในญี่ปุ่นในช่วงเดือนมกราคม พ.ศ.2485-กันยายน 2486 บันทึกต่อไปว่า…

…พรรคการเมืองหลายพรรคไม่มีนโยบายแน่ชัด แต่ตั้งขึ้นเพราะชอบพอกันในส่วนตัวมากกว่า…

พ.ศ.2485 ที่ญี่ปุ่นอยู่ในสงคราม พรรคการเมืองเหล่านี้ไม่มีอำนาจจริง มีพรรคใหญ่ 2 พรรค คือ พรรคไซยูกาย (Seiyukai) และพรรคมินไซโต (Minseito) ที่มีนโยบายไม่แตกต่างกัน

พรรคไซยูกายได้รับการสนับสนุนจากพวกเจ้าของที่ดิน ชอบลัทธิจักรวรรดินิยม สนับสนุนทหารให้ขยายอิทธิพลในเอเชีย ได้รับเงินจากบริษัทมิตซุย

พรรคมินโซไตได้รับการสนับสนุนจากนักอุตสาหกร ได้รับเงินสนับสนุนจากมิตซูบิชิ

ทั้ง 2 พรรคยังรับเงินสนับสนุนจาก “อุตสาหกรรมไซบัทสุ” (Zaibatsu)

กองทัพกุมอำนาจการปกครอง การบริหารบ้านเมือง

บารอน ชิเดฮารา (Baron Shidehara) เคยเป็นทูตญี่ปุ่นในวอชิงตัน กลับมาเป็น รมว.กระทรวงการต่างประเทศ พยายามทำให้ญี่ปุ่นประพฤติเป็นประชาธิปไตยทางรัฐสภา ถูกทางการทหารบีบคั้น ต้องลาออกเพราะขัดนโยบายของทหาร

ระหว่างสงคราม ญี่ปุ่นเปลี่ยนรัฐมนตรีต่างประเทศหลายคน

ระบบฟิวดัลยึดหลักที่เรียกว่า บูชิโด (Bushido) ที่แปลว่า “แสนยานุภาพ” ที่เป็นอุดมการณ์สูงสุด อัศวิน หรือซามูไร ทุกคนต้องถือหลักประจำชีวิต… ใช้มาตลอด 600 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.1728

นักรบซามูไร มีราว 5 เปอร์เซ็นต์ของราษฎร มีอำนาจในสมัยโชกุน มีอภิสิทธิ์เหนือราษฎรธรรมดา มีกฎหมายพิเศษปกครองตนเอง มีศาลของตนเอง อาชีพหลักของชาวญี่ปุ่น คือ เกษตรกรรม

พ.ศ.2411 พวกซามูไร ล้มระบบโชกุน ถวายพระราชอำนาจคืนให้พระจักรพรรดิ ให้ทรงมีอำนาจอย่างจริงจัง แต่งตั้ง “รัฐบุรุษ” ชื่อ มาควิส อิโต และคณะ เดินทางไปอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และประเทศอื่นๆ ในยุโรป เพื่อศึกษารัฐธรรมนูญและระบอบการปกครองประเทศ

มาควิส อิโต พอใจที่สุด คือ รัฐธรรมนูญของเยอรมนี ญี่ปุ่นใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 (อเมริกามายกเลิก)

จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับแรก…ประกาศใช้ พ.ศ.2432

…เมื่อมีพรรคการเมือง …ที่ควรจะประพฤติตนเป็นผู้แทนผลประโยชน์ของราษฎรจริงๆ …กลับทำทุกอย่างเพื่อหาประโยชน์ใส่ตน เมื่อต้องการเงินมา ก็หันไปพึ่งพวกอุตสาหกรที่เป็นเศรษฐี พวกธนากรเหล่านี้ก็เรียกเอาประโยชน์จากนักการเมืองตอบแทน

ผลก็คือ พวกคนยากจนไม่ได้ประโยชน์จากนักการเมืองเหล่านี้ สภาพการเมือง ระบบรัฐสภาก็ทรุดลงทุกวัน ที่กล่าวนี้หมายความถึงความเหลวแหลกของทั้ง 2 พรรค คือ พรรคไซยูกายและมินไซโต

ขอเรียนท่านผู้อ่านว่า…ข้อความข้างบนมาจากหนังสือ ของ ศ.ดิเรก ชัยนาม ที่บันทึกไว้ในระหว่างที่ท่านไปเป็นเอกอัครราชทูตไทยในญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

สภาพบ้านเมืองที่เสื่อมโทรมทำให้เกิด “กลุ่มต่อต้าน” …

ทหารบกและทหารเรือไม่พอใจต่อสภาพดังกล่าว เห็นว่าต้องกำจัดสังคมที่เน่าเฟะออกไปจากโลกนี้เพราะคนพวกนี้ไม่ต่างจากพวกทรยศต่อชาติ…การฆ่าเสียก็ไม่เห็นผิดอะไร

ความคิดนี้แพร่กระจายไปในหมู่ทหารบกและทหารเรือ จัดตั้งสมาคมดาบสวรรค์ (Society of Sword of Heaven) และสมาคมนี้ได้กลายเป็น “เครื่องมือ” ของนายทหารชั้นผู้ใหญ่

“การฆาตกรรม” เป็นเครื่องมือของนโยบายนี้

เกิดคดีฆาตกรรม “บุคคลสำคัญในวงการเมือง” อย่างต่อเนื่อง

พ.ศ.2473 เกิดมีสมาคม “โลหิตภราดรภาพ” (Blood Brotherhood) ซึ่งมีมติให้สมาชิกนายหนึ่งไปสังหารนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคมินไซโต ชื่อ ยามากูจิ เป็นผลสำเร็จ…

กุมภาพันธ์ พ.ศ.2475 นายอิโนอุเอ (Inouye) รมว.กระทรวงการคลังที่สนับสนุนนายยามากูจิ ถูกสังหารเป็นรายต่อมา

ต่อมา นายบารอน แดน (Baron Dan) หัวหน้าสกุลมิตซุย ถูกสังหารโดยกลุ่มโลหิตภราดรภาพ เพราะเห็นว่า “นิยมตะวันตก”

15 พฤษภาคม 2475 ทหารในกลุ่มโลหิตภราดรภาพ มีนายทหารเรือยศ “เรือตรี” เป็นหัวหน้า นำกำลังบุกทำเนียบเพื่อจะสังหารนายกรัฐมนตรี อินุคาอิ (Inukai)

…กลุ่มทหารหนุ่มกราดยิงทหารยามทั้งหมดในทำเนียบ …นายกรัฐมนตรีอินุคาอิมีสติ ออกมาเผชิญหน้ากับกลุ่มทหารหนุ่ม ถามว่า… “มีธุระอะไร จึงได้เข้ามาในทำเนียบนายกรัฐมนตรี?”

นายกรัฐมนตรีพูดต่อไปว่า…ถ้าไม่ตอบ ก็ไม่ต้องเสียเวลา ยิงฉันได้

กลุ่มทหารกราดกระสุนเข้าใส่… นายกรัฐมนตรีอินุคาอิขาดใจตายทันที และยังโยนระเบิดเข้าไปในอาคารหลายแห่ง

จำเลยไปให้การในศาลว่า…ที่จำต้องฆ่านายกรัฐมนตรี คือ ผู้ตายทำให้ญี่ปุ่นตกต่ำในสายตาชาวโลก จึงจำต้องฆ่าเสีย ถ้าขืนปล่อยไว้พระจักรพรรดิเองจะพลอยเสียไปด้วย เพราะมีที่ปรึกษาไม่ดี…หนังสือพิมพ์พากันชมเชย และระหว่างการพิจารณาคดีแทนที่จำเลยจะกลัวผู้พิพากษา ผู้พิพากษากลับกลัวจำเลย…

กลุ่มทหารมือสังหารถูกพิพากษาจำคุกคนละ 5 ปี แต่เนื่องจากเคยทำคุณงามความดี จึงให้ลดลงเป็น 3 ปี

การฆาตกรรมครั้งนี้ เป็นอวสานการมีระบอบรัฐสภาอันแท้จริง ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีผู้กล้าคัดค้านทหารจริงจัง…

(กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น พ.ศ.2414-2488 คือ กองทัพบกและกองทัพเรือ ส่วน “กองทัพอากาศ” นั่นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ไปขึ้นตรงต่อ 2 เหล่าทัพหลัก)

กลางเดือนกรกฎาคม 2486 ศ.ดิเรก ชัยนาม เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว (ที่เขียนบันทึกเรื่องนี้) เกิดป่วย ทำหนังสือขอลาออกจากราชการเสนอ จอมพล ป. ซึ่งได้รับการอนุมัติ

รวมระยะเวลาในการทำหน้าที่ในญี่ปุ่น 1 ปี 8 เดือน

รัฐบาลไทยส่ง หลวงวิจิตรวาทการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปรับตำแหน่งแทน…

6 สิงหาคม 2488 อเมริกานำปรมาณูลูกแรกไปทิ้งใส่เมืองฮิโรชิมา ชาวญี่ปุ่นตายไปราว 140,000 คน

8 สิงหาคม 2488 โซเวียต (คู่แค้นของญี่ปุ่น) ชิงประกาศสงครามกับญี่ปุ่น…หมายจะเข้ายึดครองเกาะญี่ปุ่น

อเมริการู้เท่าทันว่า โซเวียตจะเข้ายึดเกาะญี่ปุ่นแน่นอน

9 สิงหาคม 2488 อเมริกาไปทิ้งปรมาณูลูกที่ 2 เมืองนางาซากิ ชาวเมืองตายไปราว 80,000 คน …

ระหว่างคืนวันที่ 14-15 สิงหาคม 2488 พันตรี เคนจิฮาตานากะ ตั้งตัวเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร เพื่อ “ยับยั้ง” การออกอากาศพระราชดำรัสประกาศยุติสงคราม …ซึ่งล้มเหลว…ต้องฆ่าตัวตาย

15 สิงหาคม 2488 พระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ของญี่ปุ่นทรงประกาศยอมแพ้อเมริกาอย่างไม่มีเงื่อนไข ผ่านทางวิทยุกระจายเสียง เพื่อขอเป็น “ผู้แพ้ของอเมริกา” …ดีกว่าเป็น “ผู้แพ้ของโซเวียต”

โคเรชิกะ อะนามิ (Korechika Anami) รัฐมนตรีสงครามของญี่ปุ่นในขณะนั้นฆ่าตัวตายด้วยการ “คว้านท้อง” (Seppuku) พร้อมทิ้งจดหมายลาตายมีข้อความว่า “ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานอภัยโทษในอาชญากรรมอันใหญ่หลวงด้วยความตายนี้”

พลเอก ดักลาส แมคอาร์เธอร์ นำกำลังเข้าปกครองญี่ปุ่น

ความเร่งด่วน คือ 1.การยุบกองกำลัง 3 เหล่าทัพ คือ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศของญี่ปุ่น คงเหลือเพียงกองกำลังเพื่อการป้องกันภายในประเทศ 2.ดำเนินการกับอาชญากรสงครามคนสำคัญ เช่น นายพลโตโจ และฮิโรตะ และการปล่อยนักโทษการเมืองหลายพันคน …ฯลฯ

อเมริกาได้วางระบบการเมืองของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการร่าง “รัฐธรรมนูญ ค.ศ.1946” โดยรัฐธรรมนูญนี้จะให้สิทธิขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ สถาบันรัฐสภามีอำนาจสูงสุด ให้ประชาชนเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด โดยตรงจากประชาชน ฯลฯ

ประกาศใช้ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2489 และมีผลบังคับใช้วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2490

ช่วง พ.ศ.2500 เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะมีการยุบ 3 เหล่าทัพ ที่สำคัญอีกประการคือ “ชาวญี่ปุ่น” ที่มีระเบียบวินัย ขยัน และมีระบบการเมืองที่ดี

ผ่านมาราว 80 ปี…ญี่ปุ่นเป็นอย่างไร…

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image