อินเดีย : ประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังมีปัญหาทางความเชื่อ

นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ.2490 ที่ประเทศอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ จนถึงปัจจุบันก็ร่วม 75 ปีแล้ว แต่ประเทศอินเดียไม่เคยเกิดการรัฐประหารโดยทหารเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่ประเทศอินเดียมีกองทัพที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองลงมาจากสหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อปลายเดือนเมษายนต่อต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2564 เป็นช่วงที่ประเทศอินเดียมีการเลือกตั้งผู้บริหารของรัฐต่างๆ เกือบทั่วประเทศ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับผู้บริหารประเทศ หรือรัฐบาล ถือเป็นกิจกรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากอินเดียมีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน

ประเทศอินเดียปกครองด้วยแบบสหพันธรัฐคล้ายกับสหรัฐอเมริกา แต่มีรัฐบาลแบบรัฐสภาโดยมีรัฐต่างๆ มารวมตัวกัน แล้วมอบอำนาจสำคัญบางส่วน เช่น อำนาจอธิปไตย อำนาจในการติดต่อต่างประเทศ อำนาจในการประกาศสงคราม ฯลฯ ให้แก่รัฐบาลกลางซึ่งอยู่ที่ กรุงเดลี เมืองหลวง ในขณะที่รัฐต่างๆ จะยังคงมีอำนาจในการบริหารจัดการกิจการภายในของตนเอง เช่น ระบบการออกกฎหมายของรัฐ เก็บภาษีท้องถิ่น จัดการระบบการสาธารณสุข จัดการระบบการศึกษา และมีศาลพิพากษาคดีในอาณาเขตของรัฐตัวเอง เป็นอาทิ

เนื่องจากประเทศอินเดียปกครองโดยระบบรัฐสภา ผู้นำประเทศมาจากรัฐสภาที่ผ่านการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และผู้นำของประเทศฝ่ายบริหารที่มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ คือ นายกรัฐมนตรี มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศแต่ไม่มีอำนาจในการบริหารเหมือนประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา หากพิจารณาโดยรวมแล้วประเทศอินเดียมีระบอบการปกครองที่เป็นแม่แบบของประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน

ปัญหาที่กัดกร่อนความเป็นประชาธิปไตยของประเทศอินเดียซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือความเชื่อเรื่องทฤษฎีสองชาติ (Two-Nation Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีอุดมการณ์ที่ชี้ว่าเอกลักษณ์
พื้นฐานของชาวมุสลิมในอนุทวีปอินเดีย คือ ศาสนา มิใช่ภาษาหรือลักษณะเชื้อชาติ ดังนั้น ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูและที่นับถือศาสนาอิสลามจึงถือว่าเป็นคนละสัญชาติที่แตกต่างกัน โดยไม่คำนึงถึงชาติพันธุ์หรือลักษณะร่วมอื่นๆ ทฤษฎีสองชาติเป็นหลักการก่อตั้งของประเทศปากีสถานโดยการแบ่งประเทศอินเดียใน พ.ศ.2490 อุดมการณ์ที่ว่าศาสนาเป็นปัจจัยกำหนดการจำกัดความสัญชาติของชาวอินเดียมุสลิมยังได้เป็นแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจขององค์การชาตินิยมฮินดูหลายองค์กร ซึ่งก่อให้เกิดการจำกัดความใหม่ที่แตกต่างกันของชาวอินเดียมุสลิมว่าเป็นชาวต่างชาติมิใช่อินเดีย การขับไล่มุสลิมออกไปจากอินเดีย การก่อตั้งรัฐฮินดูตามกฎหมายขึ้นในอินเดีย การห้ามเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม และการเสนอให้มีการเปลี่ยนศาสนาชาวอินเดียมุสลิมให้มานับถือศาสนาฮินดูและลามปามไปถึงชาวอินเดียที่นับถือศาสนาคริสต์อีกด้วย

Advertisement

ผลของการตีความในทฤษฎีสองชาตินี้ทำให้เกิดประเทศอินเดียและปากีสถานขึ้นเมื่ออังกฤษถอนตัวออกจากอินเดียถือเป็นการสิ้นสุดการเป็นเจ้าอาณานิคม ในสมัยนั้นอินเดียมีประชากรเกือบ 400 ล้านคน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู โดยมีประชากรที่นับถืออิสลามมีอยู่ราว 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด ทางการอังกฤษใช้เวลาเพียง 5 สัปดาห์ ในการแบ่งอนุทวีปอินเดียเป็น 2 ประเทศ คือประเทศอินเดียและประเทศปากีสถาน เนื่องจากในช่วงก่อนที่อินเดียและปากีสถานจะได้รับเอกราช เกิดการปะทะกันระหว่างชาวฮินดูและชาวมุสลิม แต่ไม่มีใครคาดว่าจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นในการแบ่งประเทศ มีผู้ลี้ภัยอย่างน้อย 12 ล้านคน อพยพจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง มีผู้เสียชีวิต 5 แสน ถึง 1 ล้านคน และมีผู้หญิงหลายหมื่นคนถูกลักพาตัว

วันที่ทั้งสองฝ่ายได้รับเอกราชคือ วันที่ 14 และ 15 สิงหาคม พ.ศ.2490 ทั้งปากีสถานและอินเดียต่างฉลองเอกราช แต่สองวันหลังจากนั้น เมื่อมีการประกาศว่าเส้นพรมแดนอยู่ที่ไหน ทั้งสองฝ่ายต่างไม่พอใจโดยทางปากีสถานอ้างว่า ดินแดนที่ปากีสถานได้มีลักษณะเหมือน “มอดแทะ” แบ่งเป็น 2 ปีก โดยมีปากีสถานตะวันตกและปากีสถานตะวันออก ที่มีประเทศอินเดียขวางกั้นด้วยพรมแดน 2,000 กิโลเมตร ต่อมาใน
พ.ศ.2514 ปากีสถานตะวันออกแยกตัวเป็นเอกราช กลายเป็นประเทศบังกลาเทศ เนื่องจากเชื้อชาติและภาษาของปากีสถานตะวันตกกับปากีสถานตะวันออกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพียงแต่นับถือศาสนาอิสลามเหมือนกันเท่านั้นเอง

นับตั้งแต่แยกจากกัน ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย-ปากีสถานก็ยังไม่พัฒนาขึ้น นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์ในแคว้นแคชเมียร์ โดยหลังได้เอกราชไม่กี่สัปดาห์ ทั้งสองประเทศก็เริ่มสู้รบกัน เพื่อแย่งชิงหุบเขาในแคชเมียร์ ถือเป็นความขัดแย้งที่ยังหาทางออกไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากจะเกิดสงครามระหว่างอินเดียและปากีสถานขึ้นแล้วถึง 4 ครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2542

Advertisement

ขณะนี้ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างก็มีอาวุธนิวเคลียร์พร้อมที่จะถล่มซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองจริงๆ หากเกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่าง 2 ประเทศนี้ขึ้นมาจริงๆ จากผลพวงจากความไม่ลงตัวในการแบ่งแยกประเทศเมื่อร่วม 75 ปีที่แล้ว

สำหรับประเทศอินเดียแล้ว ประชากรส่วนใหญ่ของอินเดียเป็นชาวฮินดู แต่มีชาวคริสเตียนอยู่ประมาณ 24 ล้านคนในประเทศ หรือประมาณ 2% ของประชากร และเป็นที่ตั้งของชุมชนคาทอลิกที่ใหญ่อันดับ 2 ในเอเชีย รองจากฟิลิปปินส์ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างๆ ในอินเดียได้พยายามปราบปรามการรณรงค์เพื่อเปลี่ยนชาวฮินดูเป็นคริสต์และอิสลาม โดยรัฐหลายรัฐหลายแห่งเพิ่งผ่านหรือกำลังพิจารณาที่จะออกกฎหมายที่ห้ามการเปลี่ยนศาสนาเพื่อการแต่งงาน อนึ่ง อาจเอาใจพวกหัวรุนแรงและอนุรักษนิยมที่ต่อต้านศาสนาอื่นๆ ในอินเดีย และพรรคภราติยะ ชนะตะ เป็นพรรครัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เป็นผู้นำพรรค ซึ่งเป็นพรรคฮินดูชาตินิยมอยู่แล้วก็มักจะให้การสนับสนุนโดยปริยายต่อแนวคิดปฏิบัติของทฤษฎีสองชาติโดยรัฐต่างๆ ของอินเดียที่ออกกฎหมายลงโทษการเปลี่ยนศาสนาจากฮินดูเป็นศาสนาอื่นทั้งๆ ที่เป็นสิทธิทางประชาธิปไตยขั้นมูลฐานแท้ๆ

มิหนำซ้ำพรรคภราติยะ ชนะตะ ที่นำโดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ยังเป็นรัฐบาลของอินเดียอยู่เข้าปีที่ 8 แล้วนะครับ เหมือนบางประเทศในภูมิภาค อุษาคเนย์เลยนิ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image