ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา-ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย?

ช่วงกลางธันวาคมก่อนปีใหม่ มีการปะทะกันระหว่างทหารรัฐบาลเมียนมากับกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) ทั้ง 2 ฝ่ายใช้อาวุธปืนและระเบิดถล่มใส่กันหลายครั้ง ซึ่งการสู้รบดังกล่าวเริ่มรุนแรงขึ้นหลังสิ้นฤดูฝน โดยเฉพาะพื้นที่รัฐกะเหรี่ยงชายแดนด้านเมียวดี อ.แม่สอด จ.ตาก และมีกระสุนอาวุธหนักตกเข้ามาฝั่งไทยในพื้นที่ บ.ดอนไชย น่าน และบ.แม่หละ จ.ตาก ทำให้ชาวเมียนมาเชื้อสายกะเหรี่ยงต้องอพยพหนีภัยจากการสู้รบสี่พันกว่าคนเข้ามาอยู่ในพื้นที่ชายแดนตรงข้าม อ.แม่สอด และกองกำลังป้องกันชายแดนทหาร ตำรวจไทยได้เข้าควบคุมสถานการณ์ด้วยการแจ้งเตือนผ่านกลไกชายแดนและตอบโต้ด้วยกระสุนควัน และร่วมกับฝ่ายปกครองดูแลอพยพคนไทยในพื้นที่เสี่ยงออกไปยังที่ปลอดภัย

การสู้รบระหว่างทหารรัฐบาลเมียนมากับกองกำลังชนกลุ่มน้อยและการหลบหนีภัยการสู้รบชายแดนเข้าชายแดนไทยเกิดขึ้นมากว่า 40 ปีแล้ว ตั้งแต่ประมาณปี 2523 โดยในระยะแรกรัฐบาลไทยห้ามผู้อพยพมิให้ดำเนินการใดๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลเมียนมาและให้มีการควบคุมและติดตามความเคลื่อนไหว แต่เนื่องจากพื้นที่ชายแดนเต็มไปด้วยเขตป่าทึบและเทือกเขา ทำให้ผู้หนีภัยฯสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ง่าย ฝ่ายไทยเองไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้มีการอพยพเข้ามาในเขตไทย ถึงแม้จะมีการจับกุมและส่งกลับไปแต่คนเหล่านี้ก็กลับมาอีก ยิ่งกว่านั้นหมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ฝั่งชายแดนไทยก็มีความผูกพันทางชาติพันธุ์หรือเครือญาติกับผู้หนีภัยฯ ดังนั้น ผู้หนีภัยฯจึงมักจะมาขอพักอาศัย ขอความช่วยเหลือเป็นการชั่วคราว และอพยพกลับเมื่อเหตุการณ์การปะทะกันสงบลง อย่างไรก็ดี รัฐบาลไทยได้ถือหลักการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ที่หนีภัยสงคราม และตั้ง “ศูนย์แรกรับ” ขึ้นในบริเวณชายแดนกาญจนบุรี ราชบุรี ตาก เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน โดยมีองค์กรเอกชนระหว่างประเทศเข้ามาให้ความช่วยเหลือด้านปัจจัยสี่แก่ผู้หนีภัยเหล่านี้

ต่อมามีการตั้ง “พื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา” เพิ่ม ซึ่งองค์กรที่ทำงานในพื้นที่ดังกล่าวและผู้หนีภัยจะเรียกกันเองว่า refugee camp หรือค่ายผู้ลี้ภัย ในปัจจุบันเหลือศูนย์หลักๆ 9 ศูนย์ ที่ใหญ่ที่สุดคือ ที่บ้านแม่หละ อ.ท่าสองยาง ตากมีผู้หนีภัยฯอาศัยอยู่ประมาณ 4 หมื่นคน และ เล็กที่สุดที่บ้านต้นยาง อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ประมาณ 3,400 คนและ บ้านแม่สุริน อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน จำนวนประมาณ 3,600 คน

กระทรวงมหาดไทยเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลผู้หนีภัยฯโดยการจดทะเบียนผู้หนีภัยฯที่อยู่ในศูนย์ตั้งแต่ปี 2542 แต่ได้ข้อมูลจำกัด จนปลายปี 2547 จึงได้ร่วมมือกับ UNHCR (United Nations Commission for Refugees) สำรวจจดทะเบียนใหม่ รวมจำนวนผู้ลี้ภัย (รวมPOC) ณ เมษายน 2548 จำนวน 139,990 คน เท่ากับในปี 2555 ที่ประมาณว่ามีผู้หนีภัยฯ 140,000 คน ในจำนวนนี้มีเพียงร้อยละ 60 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับศูนย์อย่างถูกต้อง ในปี 2558 สำรวจพบว่าประชากรในศูนย์ มีจำนวนลดลง คือ มีเพียง 109,035 คน (ในปี 2560 สภาความมั่นคงแห่งชาติให้ตัวเลข 66,390 คน และในปี 2564 นายกรัฐมนตรีบอกว่ามีผู้หนีภัยฯ 9 หมื่นคน) อย่างไรก็ดี จำนวนผู้หนีภัยฯและ
ผู้แสวงหาที่พักพิงในศูนย์พักพิงฯ มีจำนวนที่แตกต่างกันในบัญชีของ UNHCR กระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบของฝ่ายไทย และ The Border Consortium (TBC เดิมคือ TBBC: Thai-Burma Border Consortium) กลุ่มพันธมิตรของ 10 องค์กรเอกชนระหว่างประเทศที่ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารปันส่วน และที่อยู่อาศัย)

Advertisement

ในด้านการหลบภัย ย้อนหลังไปเมื่อ 14 ธันวาคม ผู้หนีภัยจากการสู้รบที่อยู่มาก่อนในศูนย์พักพิงฯบ้านแม่หละ ต.แม่หละ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ได้ชุมนุมประท้วงเจ้าหน้าที่ อส.ในศูนย์พักพิงฯที่ทำร้ายร่างกายผู้หนีภัยฯ 4 คนได้รับบาดเจ็บ ส่งผลให้ผู้หนีภัยฯทั้งหมดไม่พอใจและออกมาชุมนุม มีการเคาะภาชนะ และไม้ไผ่แสดงความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่ และก่อนหน้านี้ เมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ศูนย์แห่งนี้ก็เพิ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่พักผู้หนีภัยฯกว่า 100 หลังคาเรือน สะท้อนให้เห็นว่าศูนย์พักพิงก็ไม่ค่อยน่าอยู่เท่าใดนัก

ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา เป็นผู้ลี้ภัยหรือไม่

คำว่าผู้ลี้ภัย ในภาษาอังกฤษมีใช้อยู่ 4 คำ คือ Refugee (ผู้ลี้ภัย) Asylum seeker (ผู้ขอลี้ภัย) Asylee (ผู้ลี้ภัยรวมผู้ขอลี้ภัย) และ people of concerns (รวมคนพลัดถิ่นทุกประเภท)

ตามมาตรา 1 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ.1951 ของสหประชาชาติ (Convention Relating to the Status of Refugees 1951) ผู้ลี้ภัยหมายถึง บุคคลที่จำเป็นต้องทิ้งประเทศบ้านเกิดของตนเองเนื่องจากความหวาดกลัวอันมีมูลว่าจะถูกประหัตประหารไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ ความคิดเห็นทางการเมือง หรือการเป็นสมาชิกในกลุ่มสังคมเฉพาะ โดยตามมาตรา 33 ของอนุสัญญา ผู้ลี้ภัยจะได้รับความคุ้มครองโดยไม่ส่งกลับไปประเทศต้นทางตามหลักการของการไม่ส่งกลับ (non-refoulement) ยกเว้นผู้ลี้ภัยที่ถูกพบว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศที่เข้าไปอยู่ ทั้งนี้ รัฐที่ปฏิบัติตามหลัก Non-Refoulement นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่ผู้ขอลี้ภัย

Asylum seeker ผู้ขอลี้ภัย ต่างกับผู้ลี้ภัยตรงที่ผู้ขอลี้ภัยยังไม่ได้มีการรับรองสถานะผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการตามอนุสัญญาว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย พ.ศ.2494

Asylee เป็นคำที่ใช้โดยกระทรวง Homeland Security ของสหรัฐหมายความรวมๆ ถึงผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัย

Persons of concerns to UNHCR (POC) หมายถึง คนพลัดถิ่นที่ UNHCR เป็นกังวล อาทิ ผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัย ผู้กลับมาตุภูมิ บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ และคนพลัดถิ่นในประเทศ (ตามกฎหมายเข้าเมืองของไทย POC มีสถานะเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย)

สำหรับการรับรองสถานะผู้ลี้ภัยนั้น แต่ละประเทศที่ให้สัตยาบันฯจะมีระบบการขอลี้ภัย ยกเว้นในกรณีของการมีผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมากเช่นกรณีเกิดสงครามกลางเมืองหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ซึ่งทำให้ไม่สามารถคัดกรองผู้ขอลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัยดังกล่าวนับเป็น “ผู้ลี้ภัยที่มีหลักฐานชัดเจน (prima facie refugees)” ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้มีการบริหารจัดการสำหรับศูนย์พักพิงฯ โดยมีคณะกรรมการพิจารณาสถานภาพผู้หนีภัยระดับจังหวัด (Provincial Admission Board) ที่มีการจัดตั้งศูนย์พักพิงฯอยู่นั้นเข้ามาทำการประเมินสถานะผู้ขอลี้ภัยจากเมียนมาก่อนที่จะทำการขึ้นทะเบียนผู้หนีภัยฯอย่างเป็นทางการเพื่ออาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงฯได้ กระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการศูนย์เป็นหน่วยงานที่ดูแลและจัดการค่าย ทั้งนี้ องค์กรเอกชนและหน่วยงานในระดับชุมชนได้ให้ความช่วยเหลือทางด้านอาหาร ที่พัก ยารักษาโรคและการศึกษาแก่ผู้หนีภัยฯ ตั้งแต่ปี 2562 รัฐบาลไทยได้ออกระเบียบการจัดการผู้หนีภัยฯใหม่ แต่บทเฉพาะกาลกำหนดว่าการพิจารณาให้สถานะผู้ได้รับความคุ้มครองก่อนวันที่ระเบียบบังคับใช้ให้คำนึงผลการพิจารณาของ UNHCR

เนื่องจากประเทศไทยมิได้เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ.1951 ซึ่งหมายถึงว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับว่ามีผู้ลี้ภัยอยู่ในประเทศตนเอง

ดังนั้น ก่อนปี 2562 รัฐบาลไทยเรียกคนเหล่านี้ว่า “ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.) หรือ Displaced persons (คนพลัดถิ่น)” ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนตามหลักสากลในการรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ให้เข้ามาอยู่ในศูนย์พักพิงฯตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาในแม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี โดยได้ให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร ที่พักอาศัย บริการสุขภาพ การศึกษาและการฝึกอบรม

สำหรับคำว่า “ผู้ลี้ภัย” เป็นคำที่เรียกกันเอง

ตามที่ผู้หนีภัยฯและอาศัยในศูนย์พักพิงฯเรียกตนเองและ UNHCR ก็เรียกคนเหล่านี้ว่าผู้ลี้ภัยเช่นเดียวกัน และนักวิจัยบางคนก็ใช้คำว่าผู้ลี้ภัย แต่รัฐบาลไทยไม่ยอมรับและปฏิเสธการปฏิบัติการใดๆ ที่มีผลผูกพันถึงการให้สิทธิต่างๆ ของผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญาฯ ดังกล่าว แต่ก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม กล่าวคือการให้อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค การศึกษา พอเพียงแก่การดำรงชีพ

เมื่อ 25 ธันวาคม 2562 รัฐบาลได้ออก “ระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ.2562” ซึ่งระเบียบดังกล่าวก็ไม่ใช้คำว่าผู้ลี้ภัยแต่ใช้คำว่า “ผู้ได้รับการคุ้มครอง” และคำว่าผู้ขอลี้ภัยใช้คำว่า “ผู้อยู่ระหว่างคัดกรองสถานะ” และได้ตั้ง “คณะกรรมการพิจารณาคัดกรองผู้ได้รับความคุ้มครอง” โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธาน โดยหน้าที่หลักของคณะกรรมการคือ “กำหนดหลักเกณฑ์และพิจารณาคัดกรองคนต่างด้าวเพื่อให้สถานะเป็นผู้ได้รับการคุ้มครอง และส่งเรื่องไปดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามระเบียบนี้ รวมทั้งพิจารณาอุทธรณ์การยกคำร้องขอรับสิทธิเป็นผู้ได้รับการคุ้มครอง”

ครับ ใครอยากเรียกผู้ลี้ภัยก็เรียกไป แต่รัฐบาลไทยไม่ยอมรับเท่านั้นเอง

สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์
[email protected]

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image