หนึ่งขวบรัฐประหารเมียนมา! : สุรชาติ บำรุงสุข

ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้ นอกจากจะเป็นวันตรุษจีนแล้ว ในทางการเมืองวันนี้ คือ วันครบรอบวาระ 1 ปี ของการยึดอำนาจในเมียนมา… 1 ปีแล้วที่ความพยายามของรัฐบาลทหารเมียนมาในการ “กระชับอำนาจ” จากการรัฐประหารในวันนั้น ยังไม่ประสบความสำเร็จ และการต่อต้านรัฐบาลทหารจากฝ่ายประชาธิปไตยยังคงดำเนินต่อไป และดำเนินไปด้วยความเข้มข้นอย่างยิ่ง

1 ปีที่ผ่านมา คงจะต้องถือว่าเป็น “บทเรียนสำคัญ” สำหรับนักรัฐประหารและบรรดากองเชียร์ระบอบทหารในภูมิภาค โดยเฉพาะภาพการต่อสู้อย่างกล้าหาญของฝ่ายประชาธิปไตย ดูจะเป็น “เครื่องเตือนใจ” อย่างดีว่า รัฐประหารไม่ใช่เส้นทางสู่อำนาจที่ปูลาดด้วย “กลีบกุหลาบ” สำหรับผู้นำทหารอีกต่อไปแล้ว

แม้รัฐประหารไทยในปี 2549 และ 2557 จะสร้างคำตอบให้แก่ผู้นำทหารสาย “ขวาจัด” ว่า การยึดอำนาจของทหารในโลกศตวรรษที่ 21 ยังเป็นเรื่องง่าย และเมื่อยึดแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลมาก กล่าวคือ ฝ่ายต่อต้านบนถนนจะไม่เข้มแข็งพอที่จะรับมือกับการใช้อำนาจของผู้นำรัฐประหาร ที่มีทหารเป็นกำลังสนับสนุนหลัก ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องกลัวพรรคฝ่ายค้าน เพราะรัฐบาลทหารสามารถใช้อำนาจจัดการกับ สส. ที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน และทั้งยังอาจใช้อำนาจยุบพรรคฝ่ายค้านได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังใช้อำนาจทั้งทางทหาร/ตำรวจและทางกฎหมายจัดการฝ่ายตรงข้ามเพื่อสร้างให้เกิด “อาณาจักรแห่งความกลัว” อันจะทำให้สังคมตกอยู่ในสภาพของการ “ยอมจำนน” และทำให้การต่อต้านรัฐบาลทหารเกิดขึ้นได้อย่างจำกัด

ปรากฎการณ์เช่นนี้คือ ภาพสะท้อนของความสำเร็จของผู้นำทหารไทย โดยเฉพาะการใช้อำนาจหลังการรัฐประหาร 2557 และสิ่งนี้กลายเป็นความสำเร็จที่อาจทำให้ผู้นำทหารเมียนมาเกิดความเชื่อมั่นว่า รัฐประหารไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ทหารจะควบคุมไม่ได้ อีกทั้ง ผู้นำทหารเมียนมาเคยทำรัฐประหารมาก่อน และประสบความสำเร็จอย่างง่ายดายมาแล้วทุกครั้ง ไม่ต่างกับรัฐประหารในไทย แต่ว่าที่จริงแล้ว รัฐประหารไทย 2557 เผชิญกับแรงต้านมาโดยตลอด ทั้งในเวทีภายในบ้านและในเวทีระหว่างประเทศ

Advertisement

อย่างไรก็ตาม การรัฐประหารทั้งในไทย (2557) และในเมียนมา (2564) เริ่มส่งสัญญาณทางการเมืองว่า การยึดอำนาจไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ผู้นำทหารวาดฝันเอาไว้อีกต่อไป… ยิ่งหันกลับมาดูในวาระครบรอบ 1 ปี ของการยึดอำนาจในเมียนมา ยิ่งเห็นชัดว่า รัฐประหารไม่ใช่สิ่งที่ “ทรงพลังอำนาจ” ในทางการเมืองเช่นในอดีตอีกแล้ว ดังจะเห็นได้ว่า ราคาที่ผู้นำทหารเมียนมาต้องจ่ายสำหรับความต้องการที่จะอยู่ในอำนาจนั้น สูงมาก และเป็นรายจ่ายที่ “ปิดบัญชี” ไม่ลง

ดังนั้น หากสำรวจสถานการณ์ในรอบปีอย่างสังเขปแล้ว อาจกล่าวเป็นข้อสังเกตได้ ดังนี้

1) กองทัพเมียนมาอาจยึดอำนาจได้สำเร็จ แต่กลับไม่สามารถปกครองประเทศได้ และที่สำคัญ ผู้นำทหารยังไม่สามารถที่จะกระชับอำนาจทางการเมืองในการควบคุมสังคมได้จริง

Advertisement

2) ผู้นำทหารเมียนมาในอดีตอาจใช้กำลังเข้าจัดการฝ่ายต่อต้านและ/หรือฝ่ายประชาธิปไตยได้อย่างง่ายดาย แต่การใช้กำลังในครั้งนี้กลับต้องเผชิญกับการต้านทานอย่างไม่เกรงกลัว และส่งผลให้ความรุนแรงขยายตัวออกไปในสังคมอย่างกว้างขวาง

3) การต่อต้านรัฐประหารในครั้งนี้ถูกยกระดับทางการเมืองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยการจัดตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น” หรือที่เรียกว่า “รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ” (The National Unity Government หรือ NUG) ซึ่งรับภารกิจในการขับเคลื่อนการต่อสู้ในเวทีสากล รวมทั้งในเวทีสหประชาชาติด้วย อันทำให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างภายในกับภายนอกอย่างชัดเจน

4) ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสามารถสร้าง “แนวร่วม” ภายในประเทศได้อย่างกว้างขวาง ดังจะเห็นถึงการที่คนหนุ่มสาวชาวเมียนมาส่วนหนึ่ง เดินทางเข้าร่วมกับกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อยในชนบท และยังได้รับการฝึกอาวุธจากกองกำลังดังกล่าว อันทำให้การต่อต้านรัฐบาลทหารในอนาคตจะมีมิติของการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธมากขึ้น

5) ในเวทีสากลก็เป็นอีกส่วนที่มีการเคลื่อนไหวอย่างแข็งขันของฝ่ายประชาธิปไตย จนทำให้รัฐบาลทหาร และผู้นำทหารเมียนมาตกเป็น “จำเลย” อย่างมากในเวทีระหว่างประเทศ และกลายเป็นแรงกดดันอย่างสำคัญที่รัฐบาลทหารต้องเผชิญ โดยเฉพาะปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากกองกำลังฝ่ายรัฐ อันเป็นประเด็นที่รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก

6) แม้รัฐบาลทหารอาจจะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลปักกิ่ง ด้วยเหตุผลของผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของจีนในเมียนมา แต่การกระทำของรัฐบาลจีนทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนเมียนมาอย่างมาก เพราะเกิดความรู้สึกว่า จีนไม่เพียงแต่เข้ามาตักตวงผลประโยชน์ในเมียนมาเท่านั้น หากแต่ยังให้การสนับสนุนกับรัฐบาลทหารที่เป็น “ต้นตอ” ของปัญหาความขัดแย้งอีกด้วย ดังนั้น จีนจึงเป็นอีกหนึ่ง “จำเลย” ในการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยในครั้งนี้

7) ที่ผ่านๆมา อาเซียนในฐานะองค์กรระหว่างประเทศในภูมิภาคแทบจะไม่เคยแสดงท่าทีต่อการรัฐประหารที่เกิดในประเทศสมาชิก บนหลักการ “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” แต่ในครั้งนี้ อาเซียนพยายามที่จะแสดงบทบาทใหม่บางประการ โดยเฉพาะ การออกมติเพื่อหาทางคลี่คลายปัญหาความรุนแรงในเมียนมา และอาจถือเป็นสัญญาณที่หลายประเทศในอาเซียนแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจที่เกิดขึ้น

8) อาเซียนพยายามที่หาทางออกด้วยการจัดตั้ง “ทูตพิเศษ” ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในการตรวจสอบสถานการณ์ความรุนแรงจากการใช้กำลังในเมียนมา แต่จนถึงปัจจุบัน ทูตอาเซียนยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้จริง และในอีกด้าน แรงกดดันจึงกลับมาที่อาเซียนที่จะต้องหาทางลดความรุนแรงและความสูญเสียในเมียนมา อันส่งผลให้เมียนมากลายเป็นตัวอย่างของวิกฤตในภูมิภาค ที่อาเซียนจะต้องเข้ามาแก้ไข

9) ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในสังคมเมียนมา ทำให้หลายฝ่ายกังวลอย่างมากถึง การขยายตัวของการต่อสู้ ที่นับวันยิ่งเป็น “การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ” และคาดเดาได้ว่า หากการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธยกระดับมากขึ้นแล้ว ย่อมนำไปสู่สถานการณ์ “สงครามกลางเมือง” ได้ในอนาคตอันใกล้ หรือในอีกทาง อาจนำไปสู่สภาวะ “รัฐล้มเหลว” ได้เช่นกัน

10) การขยายตัวของความรุนแรงส่งผลโดยตรงต่อสถานะของประเทศ ซึ่งมีปัญหาความยากจนเป็นพื้นฐานแต่เดิม และยังถูกกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกด้วย สภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดวิกฤตอย่างหนักในสังคมเมียนมาปัจจุบัน และยังเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่า การเร่งให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมสำหรับประชาชนเมียนมา เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน

11) หนึ่งปีภายใต้รัฐบาลทหารพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า รัฐประหารไม่ใช่หนทางในการสร้างความหวังให้แก่ผู้คนในเมียนมา แต่กลับเป็นความพยายามของผู้นำทหารที่จะดึงให้การเมืองถอยห่างออกจากการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย การเหนี่ยวรั้งในครั้งนี้ไม่ง่ายเช่นในอดีต แต่กลับพาสังคมถลำลึกสู่วิกฤตทางการเมืองมากขึ้น และขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิด “วิกฤตความมั่นคงของมนุษย์” แก่ผู้คนในสังคมด้วย

12) การต่อสู้ระหว่าง “เสรีนิยม vs อำนาจนิยม” ในเมียนมาในรอบปีที่ผ่านมา ถูกผลักดันให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ “การแข่งขันของรัฐมหาอำนาจใหญ่” ในเวทีการเมืองเอเชีย อันทำให้การต่อสู้กับรัฐบาลทหาร และการคงอยู่ของรัฐบาลทหารในครั้งนี้ มีบริบทระหว่างประเทศทับซ้อนอยู่อีกด้วย

จากที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น ทำให้มีข้อสรุปในวาระครบรอบหนึ่งปีรัฐประหารเมียนมาได้ว่า เป็นหนึ่งปีของ “ทุกขลาภแห่งอำนาจ” สำหรับผู้นำทหาร… เป็นหนึ่งปีที่ผู้นำกองทัพพาสังคมเข้าสู่ “ยุคมิคสัญญี” ได้อย่างน่ากังวล… เป็นหนึ่งปีที่พิสูจน์อย่างชัดเจนว่า รัฐประหารคือ “หายนะ” ของประเทศ !

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image