ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
ไม่ว่าจะมองจากมุมใด มาตรการ “แจ้งเตือน” ในเรื่องมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีมีแผนจะปฏิบัติการก่อความไม่สงบในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล
เป็น “เรื่องร้าย” อย่างแน่นอน
กระนั้น ภายในเรื่องอันเลวร้ายนี้ก็สะท้อนให้เห็น “ด้านดี” เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างเป็น “รูปธรรม” อย่างเด่นชัด
เป็นด้านดีในด้าน “การข่าว”
เป็นด้านดีในด้าน “ความตื่นตัว” ตระหนักรู้และตระเตรียมเพื่อ “รับมือ” กับสถานการณ์การก่อความไม่สงบในลักษณะอันเป็นฝ่ายกระทำ
มิได้เป็นการ “ตั้งรับ” อย่างด้านเดียว
อย่างน้อยการแจ้งเตือนอันมาจากข่าวกรองซึ่งเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำกรุงเทพมหานครได้มาก็ทรงความหมาย
เมื่อประสานกับการตรวจสอบ “ภายใน” ก็เพิ่มความมั่นใจ
ความมั่นใจอย่างเพียงพอที่จะมีคำสั่งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ความมั่นใจอย่างเพียงพอที่จะประชุมอย่างรีบด่วนเพื่อรับมือกับสถานการณ์
เป็น “ด้านดี” จาก “ด้านเลวร้าย” อย่างเป็นรูปธรรม
หากพิจารณาจาก “น้ำหนัก” ระหว่างการแถลงของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เหมือนกับจะวางไปยังบุคคล 2 คน
1 พอล โฟลีย์ 1 พอล โรเบิร์ตยาร์ด
คนแรกเป็นเอกอัครราชทูตด้านการก่อการร้าย คนหลังเป็นเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำกรุงเทพมหานคร
แต่หากสัมผัสได้ในการเคลื่อนไหวติดตามมา ก็จะประจักษ์
ประจักษ์ทางด้านการข่าวในพื้นที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และโดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา
ไม่ว่าการหายไปของรถจำนวนหนึ่ง
ไม่ว่าการเคลื่อนไหวของรถต้องสงสัยบางคันจากด่านตรวจท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม
กระทั่งสามารถระบุยี่ห้อรถ ภาพถ่ายของรถ
ต้องยอมรับว่า การข่าวจากออสเตรเลียเป็นอุปกรณ์ 1 ขณะเดียวกัน การตรวจสอบอย่างจริงจังของเจ้าหน้าที่ในแต่ละพื้นที่ก็เป็นอีกปฏิบัติการ 1 ซึ่งสะท้อนประสิทธิภาพ
ประสิทธิภาพด้านการข่าว ประสิทธิผลจากความเอาการเอางาน
กระนั้น โฟกัสที่สมควรศึกษาและทำความเข้าใจอย่างจริงจังก็ยังเป็นการไหวเคลื่อนซึ่งมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นด้านหลัก
ตรงนี้ “สำคัญ” ตรงนี้ “ทรงความหมาย”
จากนี้จึงถือได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการในพื้นที่ย่านรามคำแหงเมื่อต้นปี 2550 ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการบนเกาะสมุยเมื่อปี 2558
ล้วนมี “เป้าหมาย”
แม้จะมีการสรุปและเชื่อในเบื้องต้นและกาลต่อมาว่าเป็นเรื่องการเมืองอันเนื่องแต่การแยกสี แยกขั้ว แต่คำถามก็คือ
สามารถ “โยง” ไปถึงได้จริงหรือ
พลันที่มีปฏิบัติการระเบิดและวางเพลิงพร้อมกัน 17 จุดในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ตอนบนก็จะสะท้อนออกอย่างแจ้งชัด
แจ้งชัดว่าเรื่องใน “อดีต” เสมือนกับเป็นการ “ซ้อมมือ”
ซ้อมมือว่าสามารถขยายปฏิบัติการออกจากพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ได้หรือไม่ สามารถสร้างและขยายฐานมวลชนรองรับได้เพียงใด
“ความเป็นจริง” ต่างหากคือสิ่งที่จะต้องทำ “ความเข้าใจ”
ความเป็นจริงที่ปฏิบัติการในการก่อความไม่สงบค่อยๆ ไหลออกจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มายังพื้นที่อื่นในภาคใต้ตอนบนต่างหากคือสิ่งที่จะต้องสรุปและหาบทเรียนในการรับมือ
เหมือนกับที่จะรับมือในเดือนตุลาคม 2559 นี้
ไม่ว่าในที่สุดแล้วการข่าวที่ว่าอาจจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 25-30 ตุลาคม เกิดขึ้นจริงหรือไม่
แต่ก็แสดงให้เห็นว่า ในด้าน “การข่าว” นั้นจะเป็นพระเอกคนเดียวไม่ได้ จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรอย่างกว้างขวางและรอบด้าน
ยิ่งกว่านั้น การรับมืออย่างเป็นฝ่ายกระทำก็มีความสำคัญ