William godwin นักเขียน นักปราชญ์ทางการเมือง ชาวอังกฤษ ได้กล่าวไว้ในบทประพันธ์อันโด่งดังในยุคศตวรรษที่ 17-18 ค.ศ.1793 An Enquiry Concerning the Principles of Political Justice ด้วยมุมมองที่ยังเป็น อมตะ ตอนหนึ่งว่า…
ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เป็นเพียงบทบันทึกอันชั่วร้าย..สงคราม, ความอยุติธรรม
ความไม่เสมอภาค และลัทธิเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน คือ…ธาตุแท้ของมนุษย์ที่เห็นได้เด่นชัดจากข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โบราณที่ผ่านมา ผู้ปกครองทุกยุคทุกสมัยได้สร้างโศกนาฏกรรมด้วยการยกทัพจับศึก ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ล้มตายนับศพไม่ถ้วน ซึ่งมาจากความกระหายอำนาจและละโมบในผลประโยชน์แห่งตน ทั้งสิ้น …
Godwin ตั้งคำถามต่อไปว่า..ความชั่วร้ายของโลกมนุษย์และภัยพิบัติของพวกเรา มิใช่เกิดจากระบบการปกครองของทรราชหรอกหรือ?!..ฉะนั้น ความชั่วร้ายและภัยพิบัติจะดับสูญไปได้ มีเหตุผลเดียว ก็คือ…การได้มาซึ่งผู้นำและรัฐบาลที่ดีมีคุณธรรมเท่านั้น
ดังนั้น การดำเนินนโยบายของผู้นำประเทศจึงสำคัญที่สุด จักต้องดำเนินนโยบายทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ..เพื่อความสันติสุขของอาณาประชาราษฎร์ อย่างชาญฉลาด สุขุมคัมภีรภาพ
ในบทความนี้ ผู้เขียนจะวิเคราะห์เฉพาะประเทศเพื่อนบ้านชาวเอเชียที่อยู่ด้านตะวันออก คือ ประเทศเกาหลีใต้ …ที่กำลังถูกสหรัฐอเมริกาเกลี้ยกล่อมให้รับเอกสารยุทธศาสตร์การทหารแห่งชาติสหรัฐ ค.ศ.2015 (The 2015 National Military Strategy) หรือสนธิสัญญาร่วมมือทางการทหาร ซึ่งมีเนื้อหาสาระระบุนัยยะว่า สหรัฐจะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในการป้องกัน ยับยั้ง และกำจัด รัฐต่อต้าน ซึ่งกำลังท้าทายบรรทัดฐานระหว่างประเทศ และทำการขัดขวาง สลายและกำจัดองค์กรสุดโต่งนิยมความรุนแรง ที่กำลังบั่นทอนความมั่นคงในภูมิภาคต่างๆ ทั้งนี้ สิ่งที่สหรัฐมุ่งหมายดำเนินการคือ…
1.เสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายความร่วมมือและพันธมิตรระหว่างประเทศ
2.บูรณาการการดำเนินการตามยุทธศาสตร์นี้ซึ่งหน่วยงานสหรัฐทั่วโลกให้เกิดความสอดคล้องกัน
และ 3.ปฏิรูปสถาบันภายในประเทศและเสริมสร้างประสิทธิภาพกับความพร้อมของสหรัฐในการจัดการกับสิ่งท้าทายต่างๆ…
ดูจากแนวโน้ม นโยบายของรัฐบาลเกาหลีใต้ในปัจจุบันกำลังจะเปิดทางให้การตอบรับ-ร่วมมือในแผนยุทธศาสตร์การทหารปี 2015 ของสหรัฐ ซึ่งปรากฏว่าประชาชน รวมทั้งสื่อมวลชนในประเทศของเกาหลีใต้เองต่างพากันคัดค้านต่อต้านการลงนามร่วมอย่างดุเดือด โดยระบุว่า หากรัฐบาลไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านของประชาชน เท่ากับขัดหลักการการปกครองตามประชาธิปไตย และมีผลกระทบต่อนโยบายการรักษาสันติสุข-ความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านอย่างรุนแรง อันมีผลเพิ่มความขัดแย้งในภูมิภาคนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ซึ่งไม่ต่างกับการเพิ่มน้ำมันในกองไฟในขณะนี้
จะเห็นได้ว่า ฝ่ายสหรัฐพยายามใช้กลยุทธ์กดดันรัฐบาลเกาหลีใต้ให้รับสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวอย่างเร่งรีบ เพื่อการบรรลุเป้าหมายใช้เป็นฐานทัพในการแทรกแซงด้วยกำลังทหารต่อเกาหลีเหนือ ญี่ปุ่น และจีน ฯลฯ ในละแวกเอเชียตะวันออก โดยข้อสัญญา
เพื่อปกป้องประเทศพันธมิตร โดยชอบธรรม
จึงเป็นโจทย์สำคัญยิ่งสำหรับการตัดสินใจของรัฐบาลเกาหลีใต้..ทั้งนี้ทั้งนั้น การปรบมือข้างเดียวย่อมไม่สัมฤทธิผล ที่สุดแล้วสหรัฐจะสมหวังหรือไม่? ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้นำรัฐบาลเกาหลีใต้เอง..ถ้าเกาหลีใต้ยอมรับแผนการร่วมอาจตกหลุมพรางที่สหรัฐขุดลวงเอาไว้
ดั่งภาษิตไทยที่ว่า ชักศึกเข้าบ้าน นั่นเอง อนาคตของประเทศเกาหลีใต้ อาจลุกเป็นไฟ?!
ทั้งนี้ แม้หลักการตามแผนความร่วมมือทางการทหารดังกล่าว จะเขียนไว้สวยหรูว่า เพื่อเป็นการป้องกันการคุกคามจากเกาหลีเหนือก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการปลอบใจที่ไร้เหตุผล ซึ่งข้อเท็จจริงไม่สามารถจะป้องกันความปลอดภัยได้อย่างแน่นอน เพราะ…ในปัจจุบัน สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้แหลมคมมาก หากเกาหลีใต้คล้อยตามแรงยุของสหรัฐใช้กำลังทหารกับเกาหลีเหนือ ตามแผนยุทธศาสตร์การทหาร 2015 ดังกล่าว ยิ่งจะซ้ำเติมความตึงเครียด อันมีผลกระทบต่อสันติในภูมิภาคแถบนี้อย่างน่าเป็นห่วงยิ่ง!!
อันที่จริง สถานะของเกาหลีใต้ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในโลกแห่งโลกาภิวัตน์ ไม่มีความจำเป็นอันยิ่งยวดในการสถาปนาความร่วมมือทางการทหารกับสหรัฐแต่อย่างใด การเข้าร่วมดังกล่าวอาจนำพาประเทศเกาหลีสู่สงครามหรือเหวนรก เร็วกว่าที่คิด… ถ้าไม่ระมัดระวัง!!
สาเหตุสำคัญ ในการลงนามในสนธิสัญญา อันมีผลกระทบต่อประโยชน์ของชาติทั้งการทหาร การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมนั้น จำเป็นต้องพิเคราะห์อย่างรอบคอบ ซึ่งแตกต่างกับการลงนามในสนธิสัญญา เบอร์นีย์ และ เบาว์ริ่ง ในสมัยรัตนโกสินทร์ เนื่องจากตกอยู่ในภาวะจำยอม จึงต้องทำสัญญาสละสิทธิบางอย่างให้แก่ประเทศตะวันตก ด้วยเหตุผลและความจำเป็นในขณะนั้น
จากการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณกิตติพงษ์ เตรัตนชัย นายกสมาคมวิเทศพาณิชย์ไทย-จีน และกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจกรุงเทพฯ ผู้ซึ่งเพิ่งกลับจากการร่วมประชุมนักธุรกิจอินเตอร์ชาวจีนโพ้นทะเลครั้งที่ 9 ที่มณฑลจิหลิน สาธารณรัฐประชาชนจีน สดๆ ร้อนๆ เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า… ประเด็นร้อนที่สหรัฐเปิดแนวรุกโดยกำหนดแผน Military Strateru เข้าประเทศเกาหลีใต้ดังที่กำลังเป็นข่าวในขณะนี้นั้น ขนาดผมประชุมเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ แต่เชื่อไหม? ผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลจีนก็อดพูดคุยถึงเรื่องการเมืองไม่ได้เลยครับ เพราะจีนให้ความสำคัญประเด็นสหรัฐขุดหลุมพรางให้เกาหลีเดินลงหลุม ซึ่งบุคคลระดับผู้นำประเทศของจีนต่างรู้ทันเกมว่า เป็นแผนการขยายอำนาจอิทธิพล เพื่อการใช้กำลังทหารรุกรานเอเชียตะวันออกอย่างชอบธรรม โดยการอ้างสนธิสัญญาข้อตกลงตามแผนยุทธศาสตร์การทหาร national Military strategy คือยุทธวิธีแผ่อำนาจในภูมิภาคแถบนี้ ซึ่งมีอันตรายต่อความสัมพันธ์และสันติสุขระหว่างประเทศมากทีเดียว
ถึงกับผู้เชี่ยวชาญองค์กรระหว่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีน ออกมาระบุว่า ทันใดที่แผน National military Strategy เกิดผลเป็นทางการ จะเป็นต้นเหตุแห่งการทำลายล้างความสมดุลทางยุทธการของภูมิภาคส่วนนี้ และจะเกิดกระแสการต่อต้านอย่างเป็นรูปธรรมจากบรรดาประเทศที่อยู่ใกล้เคียง พร้อมกับจะทำให้ความสัมพันธ์ของจีนและเกาหลีใต้ถึงกาลอวสานอย่างแน่นอน
ผู้เขียนมองว่า การรับแผนยุทธการทหารสหรัฐ นอกจากจะไม่สามารถรักษาความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการสละความมั่นคงของประเทศ ด้วยค่าตอบแทนที่แพงสูงลิ่วอีกด้วย เพราะไม่ต่างกับการยอมเป็นม้าศึกแสนโง่ ที่ตกหลุมพรางและกลายเป็นเครื่องมือให้สหรัฐตามแผนการรุกราน แผ่อำนาจ เพื่อขยายผลประโยชน์ของสหรัฐเองในประเทศแถบเอเชีย
ประชาชนผู้รักสันติสุขในเกาหลีใต้เองถึงกับประณามว่า การระบุแผนดังกล่าวจะทำให้เกาหลีใต้ตกเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐโดยปริยาย
ในคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลเองต่างก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และตั้งปุจฉาให้ผู้นำรัฐบาลยับยั้งการตัดสินใจ เตือนให้รอหลังเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ในปี 2017 ตามระบอบการปกครองประชาธิปไตย มากลั่นกรองอีกครั้งก็ไม่สาย มิฉะนั้น อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด นำพาประเทศไปสู่หุบเหวนรกได้ในที่สุด
ดังนั้น การรับแผนยุทธศาสตร์การทหารที่สหรัฐวางแผนขีดเส้นให้เดินนั้น จึงไม่เกิดผลดีต่อความสงบสุขในภูมิภาคนี้และไม่เกิดผลดีต่อเกาหลีใต้ใดๆ อย่างเห็นได้ชัด…ผู้นำหญิงแกร่งคนแรก ปาร์ค กึน-เฮ …จะคิดอย่างไง?
ด้วยเหตุนี้ ประเด็นปัญหา national Military Strategy จึงกลายเป็นโจทย์สำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ที่จะมีขึ้นในปลายปีหน้านี้ ซึ่งแน่นอนทั้งผู้นำเก่าหรือผู้นำคนใหม่ในอนาคตจำต้องพิเคราะห์พิจารณาถึงความหนักเบาแห่งผลประโยชน์ได้-เสียของชาติเป็นสำคัญ โดยการสำนึกในความรับผิดชอบต่อ…ความสันติสุขของประชาชนในชาติ เป็นอันดับแรก
โดยสรุป การเดินตามแผนของสหรัฐดังกล่าวนี้ เป็นอันตรายกับความมั่นคงของเกาหลีใต้เองแล้ว ยังขัดกับมติประชาชนผู้รักสันติที่ส่งเสียงคัดค้าน อึงคะนึง อีกด้วย
ทว่า..ยังดีที่เกาหลีใต้ยังมีเวลาในการตัดสินใจปัญหาที่มีผลต่อประเทศไปอีกระยะเวลาหนึ่ง …จึงหวังว่าผู้นำประเทศเกาหลีใต้จะได้มองเห็น อันตรายที่จะเกิดขึ้น ด้วยการหยุดยั้งแนวทางการร่วมแผนการดังกล่าวอย่างทันท่วงที!
อย่างไรก็ตาม ผู้นำเกาหลีใต้จะคิดผิดอย่างไร? กับประเด็นปัญหา ก็เป็นเรี่องของผู้นำหญิงแกร่งที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนของเธอ เช่นไร? ตามกรรมของประเทศเกาหลีใต้เอง
แต่..ขออย่างเดียว ผู้นำประเทศไทย ที่พวกเราอาศัยใบบุญ ..จงอย่า..คิดผิด..เป็นใช้ได้ …ว่าไหม!?