| ผู้เขียน | โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ |
|---|
ความประสงค์ที่ของประธานาธิบดีปูตินที่ชัดแจ้งที่สุด คือการสกัดกั้นการขยายตัวขององค์การนาโต หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ที่ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2492 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งระบบพันธมิตรทางทหารเพื่อต่อต้านการคุกคามทางการทหารจากสหภาพโซเวียต (ปัจจุบันคือรัสเซีย) ซึ่งหลักปฏิบัติหลักของนาโตคือหากสมาชิกของนาโตประเทศใดถูกรุกรานทางทหารจากประเทศใดก็ตาม บรรดาสมาชิกที่เหลืออยู่ของนาโตก็จะอยู่ในสถานะสงครามกับประเทศที่รุกรานโดยอัตโนมัติแบบว่าจะมีพันธมิตรมากมายเข้าช่วยเหลือทันทีนั่นเอง โดยองค์การนาโตมีสมาชิกเมื่อเริ่มสถาปนาองค์การนาโตมี 12 ประเทศ ได้แก่
1.สหรัฐอเมริกา 2.อังกฤษ 3.แคนาดา 4.เบลเยียม 5.เดนมาร์ก 6.ฝรั่งเศส 7.ไอซ์แลนด์ 8.อิตาลี 9.ลักเซมเบิร์ก 10.เนเธอร์แลนด์ 11.นอร์เวย์ และ 12.โปรตุเกส แต่ในปัจจุบันองค์การนาโตมีสมาชิกทั้งหมด 30 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา เบลเยียม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส กรีซ ตุรกี เยอรมนี สเปน เช็ก ฮังการี โปแลนด์ บัลแกเรีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย โรมาเนีย แอลเบเนีย โครเอเชีย มอนเตเนโกร และมาซิโดเนียเหนือ
ครับ! ใครๆ ก็อยากเข้าเป็นสมาชิกขององค์การนาโตทั้งนั้นแหละ เพราะเป็นหลักประกันว่าจะไม่ถูกประเทศอื่นรุกรานง่ายๆ เพราะมีพวกที่พร้อมจะเข้าช่วยเหลือโดยอัตโนมัติมากตั้ง 30 ประเทศ ว่ายังงั้นเถอะ และแน่นอนที่รัสเซียต้องรู้สึกไม่ปลอดภัยเนื่องจากรู้สึกว่าถูกสหรัฐอเมริกากับบรรดาประเทศในยุโรปตะวันตกตีวงล้อมรัสเซียเข้ามาทุกที ซึ่งรัสเซียได้ทำการขัดขวางความพยายามของบรรดาประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสหภาพโซเวียตเดิมที่ปรารถนาที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การนาโต เช่น ประเทศจอร์เจีย ซึ่งในอดีตก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตตั้งอยู่ทางตะวันออกของทะเลดำ มีพรมแดนติดกับรัสเซียได้ยื่นใบสมัครเป็นสมาชิกนาโตอย่างเป็นทางการ แถมยังส่งทหารไปช่วยสหรัฐอเมริการบในอิรักอีกด้วย ทำให้รัสเซียให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดน 2 ภูมิภาค คือ อับคาเซีย และเซาธ์ ออสเซเทีย และรัสเซียก็ส่งกองทัพบุกทะลวงเข้าไปในจอร์เจียจากเซาธ์ ออสเซเทีย เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2551 ซึ่งรัสเซียส่งรถถัง
บุกตะลุยเข้าไปในจอร์เจียและทิ้งระเบิดทางอากาศต่อเนื่อง 4 วัน โดยอ้างว่าจำเป็นส่งกองกำลังสันติภาพรัสเซียเข้าไปปกป้องประชาชนชาวรัสเซีย โดยสงครามในครั้งนั้นใช้เวลาเพียง 5 วัน และจบลงด้วยชัยชนะของรัสเซียอย่างง่ายดาย มีการลงนามข้อตกลงหยุดยิงในกรุงมอสโก และการดำเนินการสมัครเป็นสมาชิกองค์การนาโตของจอร์เจียก็ถูกระงับไปโดยปริยาย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจอร์เจียในครั้งนั้นจึงคล้ายกับเหตุการณ์ที่ยูเครนกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน เพราะยูเครนก็ได้ส่งใบสมัครอย่างเป็นทางการขอเข้าเป็นสมาชิกขององค์การนาโตแล้วนั่นเอง
ตลอดระยะเวลาร่วม 20 ปีที่ปูตินครองอำนาจสูงสุดในรัสเซียนั้น ปูตินได้ทำสงครามที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามมาโดยตลอดไม่ว่าการปราบปราม กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในเชเชน โดยกองทัพรัสเซียบุกเข้าไปทำสงครามจนสามารถยึดครองสาธารณรัฐเชเชนได้โดยเด็ดขาด นับเป็นการสิ้นสุดเอกราชโดยพฤตินัยของดินแดนดังกล่าวของรัสเซียใน พ.ศ.2542 ต่อมาปูตินก็บุกเข้าจอร์เจียทำสงคราม 5 วัน ก็สามารถสยบจอร์เจียได้อย่างสมบูรณ์แบบใน พ.ศ.2551 และใน พ.ศ.2557 ปูตินก็สามารถเข้ายึดครองและผนวกคาบสมุทรไครเมียของยูเครนได้อย่างง่ายดายโดยใช้เวลาเพียง 1 เดือน 6 วัน เท่านั้น จากความสำเร็จทางการทหารโดยง่ายดังกล่าวทำให้ปูตินมีความมั่นใจจนเกินไปในการตัดสินใจบุกทะลวงเข้าไปในยูเครนในวันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ พร้อมกับขู่ประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ไม่ให้คิดที่จะสมัครเป็นสมาชิกขององค์การนาโตในอนาคต เพราะรัสเซียก็จะเปิดสงครามกับทั้ง 2 ประเทศนี้เหมือนกับบุกยูเครนอย่างแน่นอน
แต่ยูเครนเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของทวีปยุโรปมีเนื้อที่ทั้งหมด 603,628 ตารางกิโลเมตร (ใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ 3 เท่า) มีประชากรประมาณ 47 ล้านคน ไม่ใช่ประเทศเล็กๆ แบบสาธารณรัฐเชเชนและประเทศจอร์เจีย และที่สำคัญที่สุดคือประชากรส่วนใหญ่พร้อมที่จะสู้ตายเพื่อรักษาบ้านเกิด
อย่างเด็ดเดี่ยว ประกอบกับมีผู้นำที่เก่ง ฉลาด และกล้าหาญ แบบนายโวโลดีมีร์ เซเลนสกี อดีตนักแสดงตลกและแสดงในโทรทัศน์ซีรีส์ตลกเสียดสี เรื่อง “ผู้รับใช้ของประชาชน” โดยนายโวโลดีมีร์ เซเลนสกี แสดงเป็นประธานาธิบดีในเรื่องด้วย เมื่อเขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีจริงๆ ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นเขาก็สามารถทำงานในตำแหน่งประธานาธิบดีได้อย่างดีเยี่ยม และแสดงความกล้าหาญและรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างน่าสรรเสริญโดยปฏิเสธข้อเสนอความช่วยเหลือที่สหรัฐอเมริกาจะพาเขาลี้ภัยออกนอกประเทศ โดยประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี กลับต้องการอาวุธยุทโธปกรณ์ในการรบกับรัสเซียมากกว่าที่จะลี้ภัย
เมื่อปูตินเตรียมทหารประมาณหนึ่งแสนเก้าหมื่นนายเพื่อบุกเข้ายึดครองเมืองหลวงกรุงเคียฟของยูเครนซึ่งมีประชากรประมาณ 3 ล้านคน เพราะปูตินคาดว่าทหารยูเครนคงยอมวางอาวุธง่ายๆ แต่ปรากฏว่าไม่เป็นไปเช่นนั้น แถมประชาชนส่วนใหญ่ยังอาสาสมัครป้องกันเมืองสำคัญๆ ทุกเมืองอย่างล้นหลาม ทหารที่เตรียมมาคงไม่พอหรอกครับ เพราะการสู้รบในเมืองนั้น ที่หลบซุ่มลอบโจมตีมีเยอะ และอาวุธที่ใช้โดยคนคนเดียวที่สามารถทำลายรถถังและเครื่องบินทุกชนิดก็มีอยู่ดาษดื่นทำให้แผนการที่จะยึดกรุงเคียฟภายใน 48 ชั่วโมง ไม่มีทางสำเร็จ อีกประการหนึ่งมีรถถังจำนวนไม่น้อยของรัสเซียต้องหยุดเคลื่อนไหวเพราะขาดน้ำมัน แสดงว่าการบุกยูเครนครั้งนี้ ทางการรัสเซียมุ่งแต่ยุทธศาสตร์ในการรบแต่ละเลยการส่งกำลังบำรุง แสดงถึงการเป็นมือสมัครเล่นมากกว่าเป็นมืออาชีพอย่างชัดแจ้ง
มิหนำซ้ำมาตรการแซงก์ชั่นตอบโต้การที่รัสเซียรุกรานยูเครนของกลุ่มประเทศตะวันตกคือการที่มุ่งทำให้ภาคการเงินของรัสเซียกลายเป็นอัมพาต โดยรวมถึงการปิดกั้นไม่ให้รัสเซียสามารถเข้าถึงระบบการเงินระดับโลกได้ นอกจากนั้นยังจะเป็นครั้งแรกที่มุ่งเล่นงานธนาคารกลางของรัสเซียด้วย ในการเล่นงานธนาคารกลางของรัสเซียนั้น พุ่งเป้าไปที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมากกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรัสเซียมีสำรองอยู่ เพื่อมุ่งจำกัดความสามารถของรัสเซียในการสนับสนุนสกุลเงินรูเบิลของตน ในเวลาที่รัสเซียต้องเผชิญการแซงก์ชั่นที่บีบคั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ของฝ่ายตะวันตก ทำให้ค่าของเงินตรารัสเซียร่วงดิ่งลงแบบลงเหวไปเลย และกระตุ้นให้ภายในรัสเซียเกิดอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างน่ากลัว โดยทำให้ค่าเงินรูเบิลดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อแลกกับดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งทำให้ตลาดหุ้นของรัสเซียประสบกับสัปดาห์เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีบันทึกกันไว้ จนกระทั่งปูตินต้องออกมาขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์แล้ว แสดงถึงความหมดท่าจริงๆ ของปูตินเสียแล้ว
ครับ! ปัญหาของปูตินที่หนักหนาสาหัสที่สุดอยู่ที่ประชาชนชาวรัสเซียเองที่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงในการบุกยูเครนครั้งนี้ของปูติน ประชาชนรัสเซียทั่วประเทศต่างออกออกมาเดินขบวนคัดค้านต่อต้านอย่างเต็มที่ ซึ่งล่าสุดทางการรัสเซียได้จับผู้เดินขบวนต่อต้านการบุกยูเครนไปแล้วกว่า 27,000 คน อย่าลืมนะครับ สหรัฐอเมริกาแพ้สงครามเวียดนามก็เพราะคนอเมริกันต่อต้านสงครามเวียดนามในบ้านตัวเองแท้ๆ
