ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
---|
ห้วงเวลานี้รัฐสภาอยู่ระหว่างปิดสมัยประชุมจะเปิดอีกครั้งวันที่ 22 พฤษภาคม 2565ร่างกฎหมายที่รอเข้าสู่การลงมติวาระ 2-3 ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายการเมืองล้วนๆ ส่วนกฎหมายอื่น ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พศ. … ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. …
กฎหมายสำคัญเหล่านี้จะผ่านออกมาได้ภายในเวลาที่เหลือของสภา และรัฐบาลครบวาระ 4 ปี เดือนมีนาคม 2566 หรือไม่ หรือจะแท้งเสียก่อนเพราะเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ไม่มีใครรับประกันได้
แม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่พยายามส่งสัญญาณว่าจะไม่ยุบสภาและจะอยู่จนครบวาระ ขณะที่ความเป็นจริงทางการเมืองเป็นไปในทางตรงกันข้าม
โดยเฉพาะรอยร้าวภายในพรรคแกนนำและพรรคร่วมรัฐบาล แรงกระแทกกระทั้นจากฝ่ายค้านและกลุ่มกดดันนอกสภา สถานการณ์สังคม รวยกระจุกจนกระจาย เศรษฐกิจภายในและภายนอกวิกฤตภัยโควิด-19 ยังไม่จบ
เริ่มตั้งแต่เสียงเรียกร้องให้ยุบสภาทันทีเมื่อร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับบังคับใช้ ไม่ต้องยืดเยื้อรอครบวาระ ญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยมีการลงมติ ตามมาตรา 151 พรรคฝ่ายค้านจะเดินหน้าเต็มตัวทันทีที่เปิดสภา แม้แต่การเลือกตั้งท้องถิ่นผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา ปลายเดือนพฤษภาคม กระตุ้นให้บรรยากาศการเมืองเข้มข้นขึ้น
ยังมีกฎหมายอื่นที่จะสร้างแรงกระเพื่อมได้อีก นั่นคือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ยกเลิกมาตรา 272 ปิดสวิตช์ ส.ว. เลิกอำนาจให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง เป็นโต้โผล่าชื่อประชาชนได้ครบตามหลักเกณฑ์ยื่นต่อประธานรัฐสภาแล้ว ให้บรรจุระเบียบวาระการประชุม
ขณะที่การประชุมสภาสมัยที่แล้วล่มแล้วล่มอีก ยังไม่มีหลักประกันว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก ปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้รุมเร้าให้มีโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทั้งสิ้น
ครับ สถานการณ์ บรรยากาศทำนองนี้ ถึงแม้ผู้นำรัฐบาลจะเสียงแข็งว่าจะอยู่ครบ 4 ปีให้ได้ แค่นี้ก็อาการน่าเป็นห่วงไม่น้อยอยู่แล้ว
หากยังไม่ยอมหยุด ลงจากอำนาจ แต่ต้องการอยู่ต่อไปอีก โดยอาศัยเงื่อนไขความได้เปรียบจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เป็นเครื่องมือ รับรองว่าความร้อนแรง แตกร้าว ไร้เสถียรภาพ จะดำเนินต่อไปอย่างน่ากังวลทีเดียว
ยิ่งถ้าผลการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นไปในลักษณะเดิม ไม่มีพรรคใดได้คะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด
ฤทธิ์เดชของรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ยังแรงกล้า ท้าทายเสียงส่วนใหญ่จากการเลือกตั้ง ไม่สนใจเจตนารมณ์ของผู้ลงคะแนนเสียงให้แก่พรรคที่ได้รับเลือกมาเป็นอันดับหนึ่งเช่นที่ผ่านมา
ต้นเหตุมาจากมาตรา 272 โดยแท้ หากไม่ยกเลิกมาตราอัปลักษณ์นี้ การเมืองไทยจะเป็นไปในลักษณะชนะศึกแต่ปกครองไม่ได้ ไม่มีวันสิ้นสุด
เพราะเนื้อแท้ก็คือความอยุติธรรมทางการเมือง เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ฝืนเจตจำนงของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
โดยอ้างข้อโต้แย้งว่า การให้อำนาจ ส.ว.ให้ความเห็นชอบบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเจตจำนงของประชาชนเช่นกัน ในการลงประชามติเห็นชอบคำถามพ่วงกว่า 15 ล้านเสียง
เจตจำนงที่ต้องการให้คนกลุ่มหนึ่งเป็นอภิสิทธิ์ชนเหนือคนอื่นๆ นี่่น่ะหรือคือความยุติธรรม
อ้างว่าเพื่อเสถียรภาพฝ่ายบริหารและการเมืองไทย เป็นหนทางแก้การเมืองแบบเงินเป็นใหญ่
พวกมากลากไป ประชาชนคนลงคะแนนเสียงเลือกตั้งยังโง่เง่าเต่าตุ่น เป็นทาสน้ำเงินของนักการเมือง
ผู้มีอิทธิพล
เหตุนี้จึงต้องมีคนกลุ่มพิเศษคอยชี้นำ กำกับ ประคับประคอง เป็นนั่งร้านให้คนได้เปรียบ
ฉะนั้น ตราบใดที่คนอยากมีอำนาจต่อแต่ไม่ยอมเล่นการเมืองแบบแฟร์ๆ ยังต้องการ 250 ส.ว.เป็นเครื่องมือให้ตัวเองต่อไป
ตราบใดที่ 250 อภิสิทธิ์ชนไม่ยอมสละอำนาจนี้ การเมืองไทยไม่มีทางเกิดเสถียรภาพได้โดยง่าย
เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างหลักการ เจตนารมณ์ของเสียงส่วนใหญ่ แต่ไม่แยแสหลักความยุติธรรม
เสียงส่วนใหญ่ไม่ใช่ความยุติธรรม ไม่ใช่ความถูกต้องเสมอไป แต่ก็ควรดำเนินควบคู่ไปกับความยุติธรรม ถ้าต้องการให้สังคมสุขสงบ