ยูเครนที่เป็นกลาง? สุรชาติ บำรุงสุข

หนึ่งในข้อเสนอที่สำคัญของความพยายามในการแก้ปัญหาสงครามยูเครนคือ การประกาศให้ยูเครนมีสถานะ “เป็นกลาง” และดูเหมือนผู้คนส่วนหนึ่งมีความคาดหวังว่า ความเป็นกลางอาจจะเป็นหนทางของการแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น แต่ปัญหาในอีกด้านคือ ความเป็นกลางที่เราหวังว่าจะเป็นเครื่องมือของการแก้ปัญหานั้น คืออะไร และที่สำคัญ เราคาดหวังว่า ความเป็นกลางที่ทุกฝ่ายพูดถึงในบริบทของยูเครนจะเป็นจริงได้หรือไม่ อีกทั้ง รัสเซียที่เป็นฝ่ายเปิดการโจมตีทางทหารนั้น จะยอมรับยูเครนที่เป็นกลางได้เพียงใด

นิยาม

สถานะ “ความเป็นกลาง” ในกฎหมายระหว่างประเทศ คือ การที่ประเทศดังกล่าวจะไม่ลงนามเข้าร่วมในความตกลงเพื่อการจัดตั้งระบบพันธมิตรด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ หรือในอีกด้านหนึ่งคือ การตกลงใจที่จะไม่นำประเทศเข้าเป็นสมาชิกในองค์กรทางทหารระหว่างประเทศ ผลจากนิยามเช่นนี้จึงมีนัยว่า ประเทศที่มีสถานะเป็นกลางจะไม่มีฐานทัพของชาติอื่นตั้งอยู่ในดินแดนของตน

แต่ในขณะเดียวกัน ความเป็นกลางมิได้มีความหมายว่า ประเทศที่มีสถานะเช่นนี้จะไม่สามารถพัฒนาขีดความสามารถทางทหารของตนเองได้ เพราะโดยหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว รัฐที่เป็นกลางยังคงมีสิทธิในการป้องกันตนเองทางทหาร หรือที่กล่าวในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่า การป้องกันตนเองเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของรัฐสมัยใหม่ในเวทีโลก

Advertisement

ในทางทฤษฎีแล้ว แนวคิดเรื่องความเป็นกลางเกิดขึ้นเพื่อการสร้างสันติภาพในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ อีกทั้งแนวคิดนี้มักจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งของรัฐมหาอำนาจใหญ่ โดยมีความหวังว่า ความเป็นกลางเช่นนี้จะเป็นหลักประกันว่า รัฐเล็กที่มีสถานะเป็นกลางนั้น จะไม่ถูกรุกรานและครอบครองโดยรัฐใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้าน ซึ่งหากพิจารณาจากบริบทของประวัติศาสตร์การทูตของยุโรปแล้ว ความเป็นกลางคือ การออกแบบทางการเมืองในภูมิภาคที่จะทำให้สงครามขยายดินแดนไม่เกิดขึ้น และรัฐเล็กอยู่รอดได้อย่างปลอดภัยในท่ามกลางความขัดแย้งของรัฐใหญ่

ตัวอย่างที่ชัดเจนได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์และเบลเยี่ยมถูกกำหนดให้เป็นรัฐที่เป็นกลางในยุคหลังสงครามนโปเลียน เพื่อป้องกันไม่ให้จักรวรรดิฝรั่งเศสเปิดการรุกทางทหาร และยึดครองพื้นที่ดังกล่าว หรืออีกตัวอย่างในยุคสมัยใหม่ได้แก่ กรณีของออสเตรียและฟินแลนด์ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้รับการยอมรับให้เป็นกลาง เพื่อป้องกันไม่ให้สองประเทศนี้ถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียต

หากมองปัจจัยร่วมของทั้งสี่กรณีนี้ จะเห็นชัดถึงความเป็น “พื้นที่ทางยุทธศาสตร์” ในมิติทางภูมิรัฐศาสตร์ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยอมรับในหลักการว่า พื้นที่ที่มีความสำคัญเช่นนี้ไม่สมควรที่จะตกอยู่ภายใต้การครอบครอง และ/หรือ การยึดครองของรัฐมหาอำนาจฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะหากรัฐดังกล่าวตกอยู่ภายใต้การครอบครองแล้ว ย่อมจะก่อให้เกิดการเสียสมดุลย์ในทางยุทธศาสตร์ และอาจนำไปสู่สงครามเพื่อที่จะแย่งชิงพื้นที่นี้ได้อย่างไม่สิ้นสุด ดังนั้น การสร้าง “กรอบความตกลงร่วมกัน” เพื่อที่จะยอมรับถึงสถานะที่เป็นกลางของพื้นที่ดังกล่าวจึงได้รับการยอมรับว่า เป็นทางเลือกทางการเมืองที่ดีที่สุดในสถานการณ์ความขัดแย้ง

รูปแบบ

Advertisement

ดังได้กล่าวแล้วว่า ความเป็นกลางมิใช่การที่รัฐดำรงอยู่ โดยมิได้เข้ายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายนอก จนเป็นเสมือนกับการดำเนินนโยบายแบบ “โดดเดี่ยว” ในอีกด้านหนึ่ง ความเป็นกลางก็มิได้มีความหมายว่า รัฐนั้นไม่สามารถเสริมสร้างสถานะทางทหารของตนได้ และจำเป็นต้องอยู่ภายใต้สถานะที่อ่อนแอในทางทหาร

ฉะนั้น เราอาจต้องยอมรับเป็นหลักการว่า รัฐที่เป็นกลางสามารถสร้างอำนาจทางทหารของตนเองได้ และอาจเรียกว่าสถานะเช่นนี้ว่า “รัฐเป็นกลางที่เข้มแข็งทางทหาร” ซึ่งดังได้กล่าวแล้วว่า อำนาจทางทหารที่สร้างขึ้นภายใต้เงื่อนไขของความเป็นกลางนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการป้องกันตนเองจากการคุกคามทางทหารของรัฐมหาอำนาจใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อรัฐมหาอำนาจนี้เป็นเพื่อนบ้าน ที่อาจเปิดการรุกข้ามพรมแดนได้ตลอดเวลา

ประวัติศาสตร์สงครามของรัฐยุโรปสมัยใหม่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเช่นนี้มาโดยตลอด จึงมีความพยายามในทางการเมืองระหว่างประเทศที่จะทำให้เกิดเสถียรภาพในระบบระหว่างประเทศ และยังหวังว่าจะเป็นโอกาสของการลดเงื่อนไข “สงครามของรัฐมหาอำนาจใหญ่” อีกทั้งยังเป็นความหวังว่า การดำเนินการเพื่อกำหนดความเป็นกลางของพื้นที่ที่มีความเปราะบางในทางความมั่นคงนั้น จะไม่เป็นหนทางที่นำไปสู่การเกิดของการ “รัฐผู้ครองงำ” และเป็นใหญ่แต่เพียงฝ่ายเดียวเหนือพื้นที่ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาในสถานการณ์ปัจจุบันก็คือ แนวคิดเรื่อง “รัฐเป็นกลางที่เข้มแข็งทางทหาร” นั้น จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับรัฐยูเครนได้หรือไม่ แน่นอนว่า ข้อพิจารณาเช่นนี้เป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนอาจจะทำให้ข้อเสนอเรื่องความเป็นกลางของยูเครนดูน่าสนใจ แต่คำถามเฉพาะหน้าคือ รัสเซียจะยอมรับต่อสถานะความเป็นกลางของยูเครนได้หรือไม่ อีกทั้ง หากยูเครนเป็นกลางได้แล้ว รัสเซียจะยอมรับต่อความเป็นกลางที่เข้มแข็งทางทหารของยูเครนได้จริงเพียงใด

เงื่อนไข

เราคงต้องยอมรับว่า เงื่อนไขเบื้องต้นของความเป็นกลางของยูเครนคือ รัฐมหาอำนาจใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทางภูมิรัฐศาสตร์ชุดนี้ทั้งโลกตะวันตกและรัสเซีย คงต้องตัดสินใจร่วมกันที่จะยอมรับต่อสถานะของรัฐที่เป็นกลาง หรืออาจกล่าวอีกมุมหนึ่งได้ว่า “การค้ำประกันความเป็นกลาง” ของรัฐเล็กจากรัฐใหญ่เป็นปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งภายใต้สถานการณ์สงครามเช่นนี้ การจะโน้มน้าวให้รัสเซียยอมรับความเป็นกลางของยูเครนอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก และยิ่งจะคาดหวังให้ยูเครนเป็นรัฐเป็นกลางที่มีความเข้มแข็งทางทหารด้วยแล้ว น่าจะไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลมอสโคว์จะยอมรับได้ แม้ฝ่ายตะวันตกจะยืนยันว่า เนโต้จะไม่รับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกก็ตาม

ในมุมมองทางภูมิรัฐศาสตร์นั้น รัสเซียอาจไม่ได้ต้องการรัฐที่เป็นกลาง แต่ต้องการยูเครนที่อยู่ภายใต้การควบคุมทางการเมือง เพื่อเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงของตน และเบลารุสดูจะเป็นตัวแบบที่ชัดเจนสำหรับความต้องการเช่นนี้ แต่ตัวแบบดังกล่าวคงไม่ใช่สิ่งที่รัฐและสังคมยูเครนต้องการ ชาวยูเครนในยุคหลังสงครามเย็นไม่ต้องการอยู่ภายใต้รัสเซียอีกแล้ว พวกเขามีมุมมองที่ไปในทางเดียวกับโลกตะวันตก

ในอีกด้านทำให้เกิดมุมมองเปรียบเทียบกับยุคสงครามเย็นว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่โลกตะวันตกจะสามารถโน้มน้าวใจให้รัสเซียยอมรับความเป็นกลางของยูเครน ในแบบที่สหภาพโซเวียตเคยยอมรับความเป็นกลางของออสเตรียและฟินแลนด์ในยุคสงครามเย็นมาแล้ว แต่ด้วยเงื่อนไขของพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ในมุมมองของผู้นำรัสเซียปัจจุบัน บริบทของยูเครนแตกต่างจากออสเตรียและฟินแลนด์อย่างมาก

ดังนั้น แม้ว่าข้อเสนอเรื่องความเป็นกลางของยูเครนอาจจะดูน่าสนใจ แต่ความเป็นไปได้จริงในสถานการณ์เฉพาะหน้าอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้ง ถ้าสงครามจบลงด้วยความเป็นกลางของยูเครนที่อ่อนแอแล้ว โอกาสความอยู่รอดของยูเครนก็คงกลับมาเป็นปัญหาอีก… โจทย์ความเป็นกลางของยูเครนจึงท้าทายต่ออนาคตของการเมืองโลกเป็นอย่างยิ่ง!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image