13 ตุลาคม 2559 โดย วีรพงษ์ รามางกูร

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นวันอีกวันหนึ่งที่ประชาชนคนไทยทั้งในและต่างประเทศทั่วโลกมีความรู้สึกโทมนัสร่วมกันอย่างไม่ต้องนัดหมาย เมื่อมีประกาศสำนักพระราชวังว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตแล้วเมื่อเวลา 15.52 น.

เป็นความโทมนัสอันยิ่งใหญ่ มิอาจจะเปรียบเทียบกับการสูญเสียใดๆ ได้ เพราะประชาชนคนไทยทุกคนมิได้อาลัยรักพระองค์ท่านในฐานะประมุขเท่านั้น แต่ยังรักอาลัยพระองค์ท่านเสมือนพระบิดาอันยิ่งใหญ่ คนไทยเกือบทุกคนตลอดเวลาที่ดำรงชีวิตอยู่ก็ได้เห็นได้ยินและได้สัมผัสกับพระองค์ท่านในทางใดทางหนึ่งเสมอมาทุกคนไม่มีเว้น

ความโทมนัสใจของคนไทยอย่างยิ่งใหญ่เคยเกิดขึ้นกับคนไทยมาแล้วครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ คือวันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 กว่าศตวรรษมาแล้ว ครั้งนี้วันที่ 13 ตุลาคม ก็มีบรรยากาศอย่างเดียวกัน

บรรยากาศความโศกเศร้าโทมนัสจากการเสด็จจากไปของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช บรรยายไว้อย่างละเอียดชัดเจนในนวนิยายเรื่อง “สี่แผ่นดิน” เป็นภาพที่เป็นจริงเพียงแต่ท่านใส่ตัวละคร “แม่พลอยกับนางพิศ” ซึ่งเป็นจินตนาการของท่านลงไปดังนี้

Advertisement

““พลอยก็รีบแต่งกายเข้าเครื่องไว้ทุกข์บอกนางพิศให้ไปตามรถม้ามาคันหนึ่ง แล้วก็ขึ้นรถม้าออกจากบ้านสองคนกับนางพิศมุ่งหน้าไปทางถนนราชดำเนิน

ตลอดทางที่พลอยผ่านมีแต่ชาวบ้านร้านตลาดแต่งกายไว้ทุกข์ นุ่งดำ เดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกันทั้งสิ้น ทุกคนมีใบหน้าอันเศร้าหมอง ส่วนมากถือดอกไม้ธูปเทียนในมือ บางคนเดินร้องไห้ดังๆ บางคนก็เดินเช็ดน้ำตาทุกคนต่างมุ่งหน้าไปคอยกระบวนพระบรมศพ เพื่อถวายบังคมสักการะในวันนี้

รถม้าที่พลอยนั่งมา แล่นมาถึงสะพานช้างโรงสี พลอยบอกให้รถหยุด รออยู่ที่นั่น แล้วก็เดินปนกับฝูงคนไปยังถนนราชดำเนินใน เมื่อพลอยไปถึงนั้นมีทหารถือปืนหันปากกระบอกลงดินยืนรายทางอยู่ทั้งสองฟากถนน ตามสองข้างถนนนั้นราษฎรมานั่งคอยถวายบังคมพระบรมศพกันโดยตลอด ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครส่งเสียงกระโตกกระตาก พลอยค่อยๆ หลีกคนเข้าไป เห็นมีที่ว่างอยู่ข้างถนนหน่อยหนึ่ง ก็เข้าไปนั่งเยื้องไปข้างหน้าพอเอื้อมมือถึงทหารยืนรายทางอยู่คนหนึ่ง

พลอยนั่งคอยอยู่นาน ฝูงชนที่มาคอยถวายบังคมก็มากขึ้นทุกที อากาศที่ครึ้มอยู่ตลอดวันนั้นกลายเป็นเมฆฝนขนาดหนัก บดบังท้องฟ้ามืดมิดไปทั่วราวกับกลางคืนที่มืดสนิท พลอยมองไปข้างหน้าตามขอบฟ้า เห็นฟ้าแลบไกลๆ เป็นระยะๆ และเสียงฟ้าร้องดังครืนอยู่ไกลๆ แต่ดินฟ้าอากาศที่แสดงอาการว่าฝนจะตกนั้น มิได้ทำให้ฝูงชนที่มาคอยถวายบังคมพระบรมศพนั้นท้อถอยไปได้เลย เวลายิ่งล่วงไป ความมืดก็ยิ่งทวีขึ้น พลอยขนลุก เมื่อได้ยินเสียงคนเป็นอันมากร้องไห้โฮดังมาแต่ถนนราชดำเนินนอกอันเป็นต้นทาง

ในที่สุดก็ได้ยินเสียงดนตรี เสียงปี่เสียงกลอง จากกระบวนแห่กระบวนหน้าข้ามสะพานผ่านพิภพฯ เดินมาตามถนนราชดำเนินใน คู่แห่นั้นถือเทียนแวววาว แลดูเป็นทางยาวคู่หนึ่งสุดลูกตา เสียงปี่กลองชนะดังใกล้เข้ามาอีก หมู่คนที่นั่งอยู่ริมถนนเริ่มจุดดอกไม้ธูปเทียนที่ต่างถือมาราวกับนัดกันไว้

อีกสักครู่ตามสองข้างถนนมีแสงธูปเทียนดารดาษเหมือนดาวในท้องฟ้า นางพิศจุดธูปเทียนส่งมาให้จากข้างหลัง พลอยรับมาถือไว้ ยกสองมือกำแน่น พระบรมโกศประดิษฐานอยู่บนพระยานมาศสามลำคาน กั้นกางด้วยพระมหาเศวตฉัตร แลดูสูงทะมึน ข้ามสะพานมาแล้ว ทุกคนเปล่งเสียงดังร้องไห้ด้วยความรู้สึกจากหัวใจ ทุกคนก้มลงกราบถวายบังคม พลอยนั่งใจเต้นระทึก มือที่ถือธูปเทียนอยู่นั้นเริ่มสั่นด้วยความเศร้าสลด ยิ่งพระบรมโกศถูกเชิญใกล้เข้ามา เสียงคนร้องไห้ก็ดังใกล้ติดตามมา เหมือนกับจะแข่งกับเสียงปี่กลอง

พอพระยานมาศเคลื่อนมาอยู่ตรงหน้า พลอยก็ก้มลงกราบถวายบังคม และเมื่อเงยหน้าขึ้น ตาก็พอดีไปจับอยู่กับใบหน้าทหารที่ยืนรายทาง ทหารคนนั้นถือปืนกลับปลายกระบอกลง ก้มหน้าไม่กระดิกตามที่ได้รับคำสั่ง ใบหน้าของทหารคนนั้น เป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มชาวบ้านนอกเหมือนกับทหารคนอื่นๆ ที่เกณฑ์เข้ามา แต่สิ่งที่เข้ามาปลดปล่อยความรู้สึกของพลอยให้ปะทุออกมาทั้งหมดก็คือบนใบหน้าทหารหนุ่มนั้น มีน้ำตาเป็นทางยาวไหลออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้าง และน้ำตานั้นไหลอยู่ไม่ขาดสาย พลอยเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาให้คนอื่นเห็น แต่เมื่อเห็นหน้าทหารคนนั้นด้วยแสงเทียนที่ถืออยู่ พลอยก็ปล่อยโฮออกมาอย่างหมดอับอาย

พลอยนั่งอยู่ข้างถนนนั้นอีกนาน จนกระบวนแห่หายเข้าประตูวังไปแล้ว พลอยจึงลุกขึ้นเดินกลับช้าๆ ตามองดูยอดปราสาทและหลังคาตำหนักในวัง ซึ่งแลเห็นเป็นครั้งคราวด้วยสายฟ้าแลบ ชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดดูนานนักหนา แต่เหตุการณ์วันนี้เหมือนกับบอกระยะทางแห่งชีวิตว่าได้ผ่านไประยะหนึ่งแล้ว ระยะต่อไปจะเป็นอย่างไรนั้นดูมืดเหมือนความมืดที่กั้นกางอยู่ข้างหน้า ฟ้าแลบอีกปลาบหนึ่งจนแลเห็นทุกอย่างได้ชัด เสียงฟ้าร้องแสบแก้วหู แล้วฝนห่าใหญ่ก็กระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา พลอยเดินช้าๆ ต่อไปอย่างไม่รีบร้อน นางพิศก็รู้ใจไม่เร่ง พอถึงรถและขึ้นรถได้ พลอยก็เปียกโชกไปทั้งตัว รถม้านั้นมุ่งหน้ากลับบ้าน มีพลอยนั่งมาอย่างหมดอาลัย ไม่เดือดร้อนต่อความเปียก และความหนาวเย็นในขณะนั้น””

เป็นภาพความโศกเศร้าของประชาชนคนไทยที่มานั่งสองข้างทาง และทหารหนุ่มที่ถูกเกณฑ์มายืนรายทางที่กระบวนพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ผ่านเมื่อร้อยปีที่แล้ว

วันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่เสด็จสวรรคตในปี 2453 จึงถือเป็นวันสำคัญ เป็นวันหยุดราชการมาจนบัดนี้ ความทุกข์โศกของพสกนิกรชาวไทยในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 วันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต ก็มิได้หย่อนไปกว่าความทุกข์โศกสลดใจของพสกนิกรชาวไทย เมื่อครั้งกว่าร้อยปีที่แล้ว

ตามรายทางที่กระบวนรถพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราช มายังพระบรมมหาราชวัง แม้จะเป็นระยะทางยาวหลายกิโลเมตร ตลอดทางมีประชาชนนั่งเฝ้ากระบวนรถพระบรมศพด้วยน้ำตานองหน้า เมื่อผู้สื่อข่าวโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเข้าไปสัมภาษณ์ ทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ หญิงหรือชาย หนุ่มสาวหรือคนเฒ่าคนแก่ ก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อับอาย ต่างก็พร่ำรำพันถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่ตนและประชาชนเคยได้รับตลอดชีวิตที่สามารถจำความได้

เมื่อสำนักพระราชวังประกาศอนุญาตให้ราษฎรเข้าถวายน้ำสรงพระบรมศพ ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ประชาชนจำนวนมากสวมใส่ชุดสีดำไว้ทุกข์ ข้าราชการชุดขาวปกติไว้ทุกข์ ทุกคนยืนตรง เงียบกริบ ไม่พูดคุยกันยุกยิก แสดงความอาลัยโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งเพื่อถวายน้ำสรงพระบรมศพ เป็นแถวยาว เป็นการถวายความเคารพต่อพระบรมศพเป็นครั้งแรกและคงจะมีต่อๆ ไป จนถึงวันถวายพระเพลิง

ที่ทำงานก็เงียบเหงา ไม่มีใครมีกะจิตกะใจทำงานแต่ก็ไม่มีใครอยากจะพูดจะคุย ไม่มีใครยิ้มแย้มหัวเราะ ทุกคนก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยจิตใจหดหู่เศร้าสร้อย รอจนกว่าจะเลิกงานเพื่อจะได้กลับบ้าน ไปเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ เพื่อรอฟังข่าวราชการเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวที่พระบรมมหาราชวัง

ทุกครั้งที่โฆษกหญิงแต่งเครื่องดำไว้ทุกข์ หน้าตาหม่นหมอง มีรอยคราบน้ำตาที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก แม้จะเช็ดจนแห้งแล้วก็ตาม ออกมาประกาศ ก็จะตั้งใจฟังอย่างใจจดจ่อเป็นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เมื่อมีการประกาศข่าวสวรรคต เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคมแล้ว

ต่อไปวันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี อาจจะได้รับพิจารณาเป็นวันหยุดราชการ และเรียกว่าวัน “ภัทรมหาราช” หรืออย่างอื่นที่เป็นสมัญญานามที่ประชาชนจะถวาย คู่กับวันปิยมหาราช ที่ 23 ตุลาคม ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะทั้งสองพระองค์ต่างก็ทรงเป็นที่รักของประชาชนเท่าเทียมกัน

ขอถวายอาลัยอย่างสุดซึ้ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image