ชีวิตกับความหวัง โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร

ชีวิตมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เกิดมาตามผลของชนกกรรมนำมาให้เกิด มีอุปถัมภ์กรรมคอยสนับสนุน มีอุปปีฬกกรรมคอยส่งเสริม ตัดรอน มีอุปฆาตกรรมคอยตัดรอน ทุกชีวิตเป็นไปตามกุศลผลกรรมที่ตนเองได้สร้างเอาไว้ในอดีตชาติ และชาติปัจจุบัน ไม่มีใครหนีหรือหลีกได้ นั่นคือ การกำเนิดแห่ง “ชะตาชีวิต” ของแต่ละคน เมื่อชีวิตมีความสุข ความสมหวัง ราบรื่น เพลิดเพลิน กับ “ความสุข” ก็จะลืมเรื่อง “คุณธรรม” ลืมสร้างคุณงามความดี ไม่อยู่ในศีลในธรรม กอบโกยความสุขให้ “ตนเอง” ชั่วลมหายใจเข้าและออก ท้ายสุด “ความสุข” กลับกลายเป็น “ความทุกข์” ราศีตก เศร้าหมอง หน้าดำ ดวงจิตวิญญาณมีแต่ความมืดบอด หาทางออกไม่พบ เมื่อนั้นแหละจึงจะหันหน้าเข้าวัด หาเจ้า หาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ดวงจิตวิญญาณได้สว่างมองเห็นคุณธรรมแห่งความดี เห็นสัจธรรมของชีวิต ทุกชีวิตเกิดมาด้วยความเมตตาของสวรรค์ส่งให้มา “เกิด” เกิดมาเพื่อทำความดี ทำหน้าที่ตามสวรรค์กำหนด เกิดมาพบความสุขตามชนกกรรม ดวงจิตหลงระเริงทำแต่กรรมชั่ว สร้างแต่ “อกุศลกรรม” กุศลกรรมใหม่ไม่สร้าง คอยกินแต่บุญเก่า เมื่อหมดบุญเก่า “กรรมตามทัน” เมื่อนั้นก็สายเกินไป

“ทุกชีวิต” เมื่อได้พบมรสุมชีวิต พบปัญหาอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ทำให้ดวงจิตวิตก ไร้ทางออก กลัดกลุ้ม บางรายคิดฆ่ายิงตัวตายก็มี จึงเริ่มคิดหาทางออก ศึกษาธรรมะ เดินตามรอย “พุทธะ” เพื่อให้ดวงจิตสงบ

ด้วยความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากได้ใคร่ดี ไปตามกระแสโลกาภิวัตน์ ลุ่มหลงไปกับอบายมุขชั่ววูบ ทำให้พบกับมรสุมชีวิต ทั้งชีวิตครอบครัว หน้าที่การงาน ชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง เกิดมาทุกข์ เป็นโรคภัยต่างๆ เข้ามารุมเร้า เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อมีทุกข์ วิตกทุกข์ได้ พยายามจับดวงจิตให้นิ่ง ให้เป็นสมาธิหาเหตุผล ทบทวนความผิดพลาดด้วยการ “สำรวจตนเอง” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์ที่เจริญ “ต้องมีและทำให้ได้”

ประกอบกับ “พุทธศาสนา” ได้ผ่านมากว่า 2,500 ปี พระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ถูกบิดเบือน หาผลประโยชน์เข้าตนเองและพรรคพวก เป็นยุคของ “วัตถุนิยม” พุทธพาณิชย์มนุษย์หากินกับวัด หลอกลวงให้มนุษย์งมงาย หลงเชื่อใน “อิทธิฤทธิ์” ในวัตถุมงคล ลืม “คุณธรรม” ความดีงาม ลืมหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง หลงในตนเอง ทำลายล้างซึ่งกันและกัน ทำลายธรรมชาติ ทำให้เกิดความไม่สมดุลของธรรมชาติ

Advertisement

นับจากปี พ.ศ.2530 จนถึง 2559 ในปัจจุบัน และอนาคต จะเห็นได้ว่าโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ วิปริตแปรปรวน อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้นๆ ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง ภัยจากธรรมชาติเกิดขึ้นมากมาย รุนแรงขึ้น เกิดอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย แผ่นดินไหว ภูเขาพังทลาย น้ำท่วมซ้ำแล้วซ้ำอีก ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดความแห้งแล้งทุกหย่อมหญ้า ทะเลมหาสมุทรพิโรธ เกิดคลื่นสึนามิ นอกจากอุบัติเหตุจากธรรมชาติแล้ว ยังเกิดอุบัติเหตุจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การเกิดอุบัติเหตุหมู่ ทำให้คนล้มตายจำนวนมากๆ

ผู้มีอำนาจตั้งตัวเป็นศัตรูกัน แบ่งพรรคแบ่งพวก อุ้มฆ่ากัน ใช้คำพูดโหดร้าย หยาบคาย เกิดภาษาใหม่ วาทกรรมทางการเมืองใหม่ๆ รวมทั้งข่าวคราวคดีอาชญากรรมชาวบ้านก็เพิ่มขึ้น อะไรไม่สบอารมณ์ ไม่ถูกใจก็ขาดสติ เข้าห้ำหั่นทำร้ายร่างกายกัน

ทั้งมวลนี้ก็เพราะขาดศีลธรรม คุณธรรมหายไปจากดินแดนเมืองพุทธ เรื่องเหล่านี้กระทบกระเทือนจิตใจของผู้แสวงหาทางสงบ เป็นเหตุให้เกิดความหวาดกลัว เกิดโรคประสาทและวิกลจริตมากขึ้น เมื่อจิตวิตก ทุกข์ภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ จากฝีมือมนุษย์ที่ขาดสำนึกในคุณธรรม บ้านเมืองก็เดือดร้อน ข้าวของแพงขึ้น รายได้น้อยลง รายจ่ายสูงขึ้น ความสุขสมบูรณ์จึงไม่มี “มนุษย์” โดยธรรมชาติก็ดิ้นรนเพื่ออยู่รอดด้วยการแสวงหาอาหาร “ทางใจ” เข้าวัดขอเลขเด็ด ไม่ใช่ฟังธรรมเพื่อให้ใจสงบ แต่ “หวังรวย” ขาดเหตุขาดผล ลืมตัวลืมตน ลืมกายลืมใจ ว่า…เราเป็นใคร มาจากไหน หลงอยู่กับอบายมุข หลงกับกายหยาบที่รอเวลาเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา

Advertisement

ชีวิตยังมีหวัง” มีจริงหรือ?

หากเราหรือท่านต้องการให้ชีวิตมีหวังปรากฏชัดสู่ชีวิตที่เป็นปกติ “ตนเอง” ต้องเป็นผู้กระทำนำหลักพุทธะไปปฏิบัติ ไม่ให้ดวงจิตฟุ้งซ่าน หลงอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยาก ไปตามความต้องการของ “กิเลส ตัณหา” มนุษย์ต้องดำเนินชีวิต ด้วยความซื่อสัตย์ เที่ยงตรง ให้เป็นปกติ เหมือนที่พระพุทธเจ้าบนสรวงสวรรค์ประทานดวงจิตวิญญาณที่ใสสะอาดบริสุทธิ์มาสู่โลกมนุษย์ โดยยึดหลัก ให้ใจเป็นปกติ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดตัวกูของกูเป็นพื้นฐาน แนวทางปฏิบัติในการดำรงชีวิตของมนุษย์เพื่อจะทำให้มีชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์สู่จิตเดิมให้เป็นปกติ มี 6 ประการคือ

1.ตั้งปณิธานมุ่งมั่น 2.สำรวจตนเอง 3.ดวงจิตวิญญาณอยู่เหนือกายหยาบ 4.ดวงจิตสว่างไสว สบายอกสบายใจ สู่ดวงจิตเดิม 5.อ่อมน้อมถ่อมตน ยกระดับ “ดวงจิตวิญญาณ” 6.รักษาศีลให้เป็นปกติ

“ตั้งปณิธานมุ่งมั่น” : การตั้งใจกัดฟันมุ่งมั่นทำแต่ในสิ่งที่ดี สำเร็จไป 50% แล้ว มุมานะบากบั่น “ศึกษา” เรียนรู้เป็นพื้นฐานสู่ความสำเร็จ เส้นทางชีวิตเราบอกแล้ว ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ศึกษาตลอดเวลาที่ยังมีลมหายใจอยู่ การปฏิบัติตนเอง การปฏิบัติต่อคน ต่อสรรพสิ่งที่มีชีวิต ต้องมีสติ สมาธิ ปัญญา ตามศักยภาพพื้นฐานของการดำเนินชีวิต ตลอดจนการบ่มเพาะดวงจิตวิญญาณที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ล้วนได้รับการวางรากฐานไว้แน่นในตอนที่เราเป็นเด็กวัยรุ่นสู่ประสบการณ์ตรง หรือประสบการณ์ทางอ้อมถึงความสามารถในการฟูมฟักให้เกิด “ปัญญา” ได้ หรือสู่ความสำเร็จในกิจการงานที่ดี การฟื้นฟูดวงจิตวิญญาณให้สูงขึ้น ต้องได้รับแนวปณิธานในการศึกษาค้นคว้า มีเป้าหมายที่ชัดเจน ปัญหาอุปสรรคต่างๆ จะหลีกหนี เป็นการสร้างกิจกรรมเพื่อชีวิตที่ ถูกต้อง” อย่างแท้จริงได้

“สำรวจตนเอง” : คุณค่าสูงสุดของมนุษย์ ไม่มีอะไรเกินกว่า “การรู้จักตนเอง” รู้จักตนเองให้สมบูรณ์ จะต้องปลุกตนเองให้ตื่นอยู่เสมอ ชำระล้างจิตใจที่ฟุ้งซ่านของตนเองให้สะอาดหมดจดให้เป็นปกติ ดำรงชีวิตของตนเองให้เรียบง่าย สู่ความสุข และจะต้องจำไว้เสมอว่า “ชีวิตเป็นของเรา ร่างกายเป็นของเรา” ดวงจิตวิญญาณที่อาศัยร่างกายนี้ก็เป็นของเรา ดวงจิตวิญญาณเป็นของเราตลอดไป ไม่มีเสื่อมสลายไปตามกายหยาบ และไม่ใช่ดำรงชีวิตเพื่อคนอื่น และไม่ใช่เป็นการแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นขั้นตอนของชีวิต ให้รู้จักใช้ความรู้ ใช้สติ มีความกล้าหาญ กล้าตัดสินใจในการเลือกทางเดินชีวิต และต้องไม่เผชิญกับสงครามชีวิตตามอุบายของ “กิเลส” ที่จะทำให้ดวงจิตของเรามัวหมอง ขาดปัญญา ขาดแสงสว่างในดวงจิตวิญญาณ

คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ตลอดชีวิตจึงมีแต่ความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน หาความสงบสุขไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจตนเอง หลงยึดติดกับ “ความอยาก” ของสิ่งภายนอกที่มากระทบ เกิดกังวลไม่รู้จบ วิตกทุกข์ตลอดเวลา ปกติแล้ว “ธรรมชาติสร้างทุกสิ่งให้เกิดความสมดุล” ในตัวของมันเองอย่างเหมาะสมและลงตัว ความเขียวขจีของใบไม้ดอกไม้สีต่างๆ ของต้นไม้ ดึงดูดแมลง นก ให้มาสร้างสีสันของธรรมชาติ ตลอดถึงเถาวัลย์แห้ง ต้นไม้ในป่าน้อยใหญ่ผสมผสานกันอย่างสวยงาม พัฒนาความสมดุลไปตามธรรมชาติ สู่ความมีคุณภาพของธรรมชาติอย่างสมบูรณ์สง่างาม ทุกชีวิตมีพัฒนาการตามธรรมชาติให้มีความเจริญงอกงาม ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น มนุษย์จะต้องรู้จัก “ตัวเอง” ให้ปรากฏชัด ให้เป็นปกติ

ดวงจิตวิญญาณอยู่เหนือกายหยาบ” : ชีวิตมีการได้มีการเสียตลอดเวลา หากปลงไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้ จะเป็นอุปสรรคที่ใหญ่หลวงต่อการดำรงชีวิตอันชื่นบาน ชีวิตก็คือการแบกรับหน้าที่อย่างหนึ่ง คุณสมบัติของชีวิตก็คือทุกข์และไม่สุขอยู่ตลอดไป ฉะนั้นจะต้องฝึกจิตใจให้มีทรรศนะอยู่เหนือวัตถุ มองให้ทะลุถึงความได้ความเสียฟุ้งซ่านทั้งปวง จงเข้าใจให้รู้ถึง “ความหมายและคุณค่าของชีวิต” คุณสมบัติของชีวิตเกิดขึ้นและดับไป เป็นของเที่ยงแท้แน่นอน หนีไม่พ้น มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ บางครั้งก็ต้องยอมรับความเจ็บปวดมากมาย ทุกข์ทรมานแสนสาหัส เพื่อนำมาสู่ “ความสำเร็จ” ต้องยอมรับความจริง สัจจะแห่งชีวิต จึงจะสามารถฟูมฟักแลกอุดมการณ์อันแข็งแกร่งและพอใจ สุขใจ ในการปฏิบัติด้วยความสัตย์จริง ว่างใส ขยันหมั่นเพียร ให้สำเร็จตามแรงปณิธาน

ดวงจิตสว่างไสว สบายอกสบายใจสู่ “ดวงจิตเดิม” : พื้นฐานนิสัยของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน เกิดตามแรงกรรม เกิดตามสภาพสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน การอบรม การกล่อมเกลา การเข้าถึง สงบลึกของดวงจิตต่างกัน กรรมสัมพันธ์มาต่างกัน “ผลของกรรมจึงต่างกัน” คนที่มีความอดทนต่อสิ่งยั่วเย้าจากภายนอกดวงจิตที่ได้รับการอบรมจากพุทธะอย่างเคร่งครัด คือจุดสูงสุดของการกำหนดดวงจิตให้ว่าง ห่างจากกิเลสและตัณหา

“อ่อนน้อม-ถ่อมตน” ยกระดับดวงจิตวิญญาณ : มนุษย์ถือว่าเป็นผู้วิเศษ คิดว่าตนเองเด่น ตัวเองดี มีความดี
ความสามารถ “หลงตนเอง” หลงกายเนื้อที่หยาบกร้าน ยินดีต่อการสรรเสริญ ดวงจิตวิญญาณตกต่ำ ลืมนึก ลืมคิดถึงชีวิตอันแสนจะสั้น ลืมตน ลืมตัว ลืมตาย ดวงจิตวิญญาณขาดการยกระดับ ทำให้จิตใจมัวหมอง ขาดจิตเมตตากับผู้ไม่มีกรรมสัมพันธ์ ต้องฝึกจิตอบรมจิตให้มี “เมตตา” อ่อนน้อม ถ่อมตน ดุจร่างกายเดียวกัน ให้รักษาพลังจิตชีวิตของสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนทุกข์ ให้มีความสุข มีความสว่างไสวในดวงจิตวิญญาณ มีความสำเริงด้วยกัน ใช้ชีวิตดวงจิตวิญญาณคืนสู่สภาพเดิมอย่างปกติสุข

รักษาศีลให้เป็นปกติ : “ศีล” เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด เป็น “รากฐาน” ของเหล่าพุทธะ สำหรับการฝึกปฏิบัติของ “คน” ทุกผู้ทุกคนสำคัญยิ่งสำหรับ “มนุษย์” ที่เกิดจากทาง “กาย วาจา ใจ” เป็นการหยุด ระงับการทำความชั่วทั้งปวง เพราะวิบากกรรมทั้งหลาย ล้วนมีสาเหตุมาจากความโลภ โกรธ หลง ซึ่งเกิดจากความหยาบของมนุษย์ที่ไม่สิ้นสุด “จิตใจ” เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ความวุ่นวายของมนุษย์ สังคม ความขัดแย้งระหว่างบุคคลและสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดจากการไม่สามารถควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ ก่อให้เกิดผลเสียอย่างร้ายแรง

ภายหลังในทางพุทธะมี “ไตรสิกขา” เป็นเครื่องมือ จะทำอะไรดวงจิตวิญญาณระลึกรู้สึกตัว เดินตามศีล สมาธิ ปัญญา อย่างวิริยะ “จะดับโลภ โกรธ หลง” ได้

ท้ายสุดกล่าวได้ว่า ขอให้ทุกๆ คน ถ้า “รักษาศีลให้เป็นปกติ” หมั่นสำรวจตนเองได้อย่างจริงจังสม่ำเสมอ ฝังอยู่ในจิตวิญญาณ กล่าวได้ว่า “ศีล” เป็นเครื่องมือที่เป็นรากฐานชีวิตที่สำคัญเบื้องต้นของหนึ่งในหกข้อของ “ชีวิตยังมีหวัง” ศีลเป็นเครื่องมือป้องกันความผิด เป็นการหยุดทำความชั่วทั้งปวง “สมาธิ” เป็นความใสสงบ หยุดความคิดคำนึงวิตกทุกข์ “ปัญญา” เป็นการทำลาย “มายา” นำไปสู่การเห็นแจ้งในสัจจะด้วยแสงสว่าง คุณธรรมแห่งความดีงามใน “ชีวิตของเราที่ยังมีหวัง” ด้วยการเป็น “คนดี” ที่มีกรรมดี วิชาดี มีศีล มีธรรม และอยู่อย่าง “พอเพียง” ดังเพลงพระราชนิพนธ์ “ชะตาชีวิต” ของพระบาทสมเด็

พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
นกน้อยคล้อยบินมาเดียวดาย
คิดคิดมิวายกังวลให้หม่นฤทัยหมอง
ขาดมวลมิตรไร้คนสนิทคู่เคียงครอง
หลงใหลหมายปองคนปรานี
ขาดเรือนแหล่งพักพำนักนอน
ขาดญาติบิดรและน้องพี่
บาปกรรมคงมี จำทนระทม
ท้องฟ้าสายัณห์ตะวันเลือน
แสงลับนับวันจะเตือนให้ใจต้องขื่นขม
หากเย็นลงฟ้าคงยิ่งมืดยิ่งตรอมตรม
ชีวิตระทมเพราะรอมา
จวบจันทร์แจ่มฟ้านภาผ่อง
เฝ้ามองให้เดือนชุบวิญญา
สักวันบุญมา ชะตาคงดี
…ชีวิตยังมีหวังได้ทุกวันนะครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image