ดำทั้งแผ่นดิน : โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

เป็นเวลา 15 วันแล้วนับแต่วันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ประชาชนก็ยังเนืองแน่นเข้าแถวเพื่อเข้าไปถวายสักการะไว้อาลัยแด่พระองค์ท่าน

ภาพเมื่อวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม ที่ประชาชนนับแสนนับล้านนัดหมายกันมาที่ท้องสนามหลวง เพื่อร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีอย่างกึกก้องด้วยบรรยากาศที่เศร้าหมอง ทุกใบหน้าที่ผ่านบนจอโทรทัศน์ล้วนเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ทุกคนต่างสวมใส่เสื้อผ้าสีดำไว้ทุกข์ ยืนตรง เงียบกริบ ไม่มีผู้ใดคุยกับใคร ดวงตาทุกคู่จ้องมองไปยังยอดพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง อันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพ ดำมืดไปหมดทั้งสนามหลวงและที่อื่นๆ ทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร ทุกจังหวัดทุกภูมิภาคของประเทศไทย จนอาจกล่าวได้ว่าวันนั้นเป็นวัน “ดำทั้งแผ่นดิน” ก็ว่าได้

จำได้ว่า เมื่อวันที่มีการเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ครบ 60 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน 2549 ที่มีการออกมหาสมาคมทางสีหบัญชร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ครั้งนั้น ประชาชนนับแสนนับล้านจากทุกสารทิศ ต่างพร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลือง เปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วดินแดนไทย

ในครั้งนั้น พระมหากษัตริย์และพระราชินีที่ยังครองราชย์อยู่จากทุกประเทศทั่วโลก เสด็จมาด้วยพระองค์เอง หรือไม่ก็ส่งพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่มาร่วมถวายพระพรชัย ด้วยกันเกือบทุกประเทศ ทุกทวีปทั่วโลก ยังความปลาบปลื้มใจเป็นล้นพ้นแก่พวกเราเหล่าพสกนิกรชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง

Advertisement

ทั้งสองงานล้วนมีบรรยากาศที่มีความเหมือนกัน และแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่งทั้ง 2 งาน ที่ว่าเหมือนกันก็คือ ทั้ง 2 งานประชาชนพร้อมใจกันมาร่วมงานอย่างล้นหลาม ทั้งงาน “เหลืองทั้งแผ่นดิน” และงาน “ดำทั้งแผ่นดิน” ประชาชนพร้อมเพียงกันสวมเสื้อสีเดียวกันจนเสื้อสีเหลืองขาดตลาด หาซื้อไม่ได้หรือได้ก็ราคาแพงขึ้น เช่นเดียวกับขณะนี้ที่เสื้อผ้าสีดำขาดตลาดและมีราคาแพงขึ้นตามกลไกตลาด

ที่แตกต่างกันก็คือเมื่อครั้งมีเหตุการณ์เหลืองทั้งแผ่นดินนั้น ทุกใบหน้าที่มาร่วมงานต่างก็ดูสดชื่นแย้มยิ้ม ทั้งๆ ที่อากาศวันนั้นร้อนอบอ้าว ประชาชนแน่นลานพระบรมรูปทรงม้า ล้นไปตามถนนราชดำเนินนอกไปจนถึงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ

แต่ปรากฏการณ์ “ดำทั้งแผ่นดิน” ครั้งนี้ ไม่เพียงเห็นใบหน้าที่หม่นหมอง บางคนก็ร่ำไห้ปล่อยโฮออกมาดังๆ แม้ว่าพระองค์ท่านจะเสด็จสวรรคตไปแล้วถึง 2 สัปดาห์ เชื่อว่าเหตุการณ์เช่นนี้ก็คงจะดำเนินต่อไปจนถึงวันถวายพระเพลิง ซึ่งทางการยังไม่ได้กำหนด

Advertisement

ในงานพิธีธรรมบำเพ็ญพระราชกุศลถวายในหลวง ก็ได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในงานทุกวัน บางวันเสด็จฯ มาหลายรอบ พระพักตร์เศร้าหมองเช่นเดียวกับประชาชนทั้งปวงที่มาร่วมแสดงความอาลัย เป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีได้อัญเชิญพระราชกระแสมาแจ้งแก่ประชาชนว่า พระองค์ท่านจะขอร่วมทุกข์โศกกับประชาชนในความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ หมายกำหนดการขึ้นเสวยราชย์ขอให้ชะลอไว้ก่อน จนถึงเวลาที่เหมาะสม เมื่อความทุกข์ความโศกได้ผ่อนคลายลงบ้าง จึงค่อยดำเนินการ แม้ว่าตามกฎหมายและโบราณราชประเพณีพระองค์ได้ทรงเสวยราชย์แล้ว

พวกเราประชาชนก็ยิ่งซาบซึ้ง ที่พระองค์ท่านทรงปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างของความกตัญญูกตเวทีที่บุตรจะพึงมีต่อบิดาในวาระสุดท้าย ภาพที่พระองค์ท่านทรงนั่งฟังพระสงฆ์สดับปกรณ์ หลังจากทรงถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทุกวัน มิได้ขาด จนถึงวันบำเพ็ญกุศลสัตตมวาร เป็นตัวอย่างอันงดงามที่ประชาชนทุกรุ่นทุกวัยจะพึงเจริญรอยตามในการแสดงออกต่อบุพการีของตนเมื่อโอกาสมาถึง

ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวงที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ความรู้สึกเช่นว่าก็จะยังคงมีต่อไปในรัชกาลใหม่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์และบรมราชจักรีวงศ์ยังคงสถิตสถาพรคู่กับสยามประเทศตลอดไป ไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลง พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ทรงพระปรีชาสามารถ เพราะทรงมีประสบการณ์มาเป็นเวลายาวนาน ในฐานะสมเด็จพระยุพราช ตามพระราชบัญญัติกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2467 ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2515 เป็นเวลายาวนานถึง 43 ปี ทรงได้รู้ได้เห็นและมีส่วนร่วมในการดำเนินวิเทโศบายในการปกครองประเทศ ซึ่งเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในเวลาเดียวกัน เป็นเวลายาวนานกว่าสมเด็จพระยุพราชพระองค์ใดที่เคยมีมา

พวกเราประชาชนต่างเฝ้ารอเวลาอันเหมาะสม เมื่อพระองค์ท่านจะคลายความทุกข์โศกอาดูร ก็จะได้เห็นประธานรัฐสภาไปกราบถวายบังคมทูลอัญเชิญพระองค์ท่านขึ้นครองราชย์ ด้วยความปีติยินดีและอบอุ่นใจว่าบัดนี้เรามีที่เคารพสักการะเทิดทูน เป็นที่พึ่งพระองค์ใหม่ที่จะให้ความอบอุ่นและความปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง ทั้งจากภายในและนอกประเทศ ดังที่เคยมีมาในรัชกาลก่อนไม่ได้แตกต่างกันเลย

ประเทศไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นของคู่กัน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2475 ได้พิสูจน์แล้วว่าสยามประเทศกับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่ขาดกันมิได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สถาบันนี้จะยังคงอยู่คู่ประเทศไทยต่อไป

ในหลวงพระองค์ใหม่ก็ทรงเป็นที่คุ้นเคยของประชาชน เพราะทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ในพระบรมโกศเสมอมามิได้ขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายปีที่ผ่านมาทรงทำหน้าที่แทนพระองค์ในงานพระราชพิธีและรัฐพิธีต่างๆ ทรงรับพระราชภาระแทนพระบรมชนกนาถอย่างงดงามมาโดยตลอด เป็นที่ชื่นชมแก่พสกนิกรเสมอมา

ในงานบำเพ็ญพระราชกุศล พระองค์ท่านมิได้เสด็จฯมาบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเท่านั้น แต่ทรงเอาพระทัยใส่กับประชาชนที่หลั่งไหลเข้ามาถวายบังคมพระบรมศพอย่างเนืองแน่น มีรับสั่งกับรัฐบาลให้ดูแลประชาชน ซึ่งทรงถือว่าเป็นแขกของพระองค์ให้ดีที่สุด จัดอาหารจากร้านที่มีชื่อที่สุดจำนวนกว่า 1.5 หมื่นชุดต่อวัน ประชาชนเป็นแขก พระองค์ท่านก็ทรงเป็นเจ้าภาพของงานบำเพ็ญพระราชกุศล

ทรงเจริญรอยตามสมเด็จพระราชบิดาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ หลังจากจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนจิตรลดาแล้ว ก็ทรงไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษ ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อจะได้ทรงซาบซึ้งและเชี่ยวชาญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ระบอบการปกครองดังกล่าวปักหลักมั่นคงแน่นหนาและประวัติศาสตร์อันยาวนาน แม้จนบัดนี้ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของอังกฤษก็ยังดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร

การที่ทรงประทับศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และต่อมาที่ประเทศออสเตรเลียเป็นเวลาอันยาวนาน ทำให้ทรงซึมซับสังคมประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นอย่างดี แม้ว่าเงื่อนไขความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ คุณค่าของสังคมและเป็นของที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับของเราทีเดียวนัก แต่เราก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประชาชนไทยที่กำลังอยู่ในภาวะโศกเศร้าจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันก็กำลังจะโชคดีที่ได้ประมุขพระองค์ใหม่ที่ได้รับการศึกษาอบรมจากประเทศที่เป็นแม่บทของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นแบบอย่างไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย

ขอพระเจ้าอยู่หัวจงทรงพระเจริญ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image