มหัศจรรย์ที่กรุงเทพ! : สุรชาติ บำรุงสุข

ผมอยากจะขอเรียกปรากฎการณ์ในค่ำคืนวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 ว่าเป็น “มหัศจรรย์การเมืองกรุงเทพ” และต้องถือว่าเป็น “หมุดหมายสำคัญ” ครั้งหนึ่งของการเมืองไทยอย่างไม่คาดคิด

วันที่ 22 พฤษภาคม 2565 ไม่ใช่เป็นเพียงเป็นวาระสำคัญทางการเมืองของการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครเท่านั้น หากเป็นวาระครบรอบ 8 ปีของการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าวในปี 2557 แม้ 8 ปีของการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารชุดนี้อาจจะยังไม่จบลง แต่ผลคะแนนจากการเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ต้องถือว่าเป็นสัญญาณโดยตรงจาก “การสื่อสารทางการเมืองของประชาชน” ที่กำลังบ่งบอกถึงความต้องการที่จะพาการเมืองออกจากระบอบเดิมของผู้นำทหาร

การเลือกตั้งที่กรุงเทพส่งสัญญาณถึงความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงการเมือง และมีนัยถึงการไม่ตอบรับกับการบริหารประเทศของรัฐบาลสืบทอดอำนาจชุดปัจจุบัน

แม้ผู้นำรัฐประหารและกลุ่มขวาจัดที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจอาจจะโต้แย้งได้ว่า ผลการเลือกตั้งเป็นเพียงเรื่องของการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น เพราะเป็นเลือกตั้งกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ทุกคนรู้ดีว่า ผลการเลือกตั้งกรุงเทพคือ คำตัดสินอนาคตของรัฐบาล และคำกล่าวที่ยังเป็นจริงเสมอคือ “การเมืองกรุงเทพคือการเมืองของประเทศไทย” ฉะนั้น การแพ้ที่กรุงเทพ จึงมีนัยในตัวเองถึง การแพ้ของรัฐบาล และถ้าชนะที่กรุงเทพ ก็เป็นสัญญาณถึงชัยชนะในการเมืองไทยด้วย

Advertisement

อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่า การเข้าควบคุมการเมืองไทยตั้งแต่การยึดอำนาจในเดือนพฤษภาคม 2557 และเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ด้วยการจัดตั้ง “รัฐบาลทหารแบบพันทาง” หลังการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมีนาคม 2562 นั้น ทำให้รัฐบาลทหารอยู่ในอำนาจได้อย่างยาวนาน จนต้องถือว่าผู้นำคณะรัฐประหารชุดนี้อยู่ในการเมืองไทยมาอย่างต่อเนื่องถึง 8 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวที่สุดชุดหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคณะรัฐประหารหลายชุดในอดีต จนการอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานเช่นนี้กลายเป็น “ความมหัศจรรย์ของฝ่ายขวา” ในการเมืองไทยอย่างไม่น่าเชื่อ

ความมหัศจรรย์เช่นนี้ต้องลงทุนสูงอย่างมากด้วยการออกแบบรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้เกิดการแข่งขันที่เสรี มีการใช้อำนาจขององค์กรอิสระ และกลไกตุลาการต่างๆ เข้ามาเป็น “ตัวช่วย” จนเป็นทำให้การเมืองไทยกลายเป็น “ความบิดเบี้ยว” ไปในทุกเรื่อง แม้การกระทำเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลของผู้นำรัฐประหารอยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด แต่ก็มีความเปราะบางในตัวเอง เพราะในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลนี้ประสบความล้มเหลวในหลายเรื่อง และในหลายเรื่องของความล้มเหลวของรัฐบาล เป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหากเป็นรัฐบาลในภาวะที่ระบอบประชาธิปไตยมีความเป็นปกติแล้ว รัฐบาลชุดปัจจุบันน่าจะสิ้นสภาพไปแล้ว หรืออาจกล่าวเป็นข้อสรุปได้ว่า “รัฐบาลสืบทอดอำนาจได้อำนาจ แต่ไม่ได้ใจประชาชน” ไม่ต่างกับรัฐบาลของผู้นำทหารในปี 2535

แต่ในวันครบรอบ 8 ปีของการรัฐประหาร กลับเกิด “ความมหัศจรรย์ทางการเมือง” อย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยการที่อดีตรัฐมนตรีที่ถูกกลุ่มทหารจับกุมในวันยึดอำนาจ ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่ากรุงเทพ ด้วยคะแนนอย่างถล่มทลายเกิน 1 ล้าน 3 แสนเสียง และด้วยตัวเลขของชัยชนะที่เกินหลักล้านเช่นนี้ แม้จะเอาคะแนนของผู้แข่งขันที่ได้ในลำดับที่ 2 3 4 และ 5 มารวมกันก็ยังน้อยกว่าผู้ชนะ และที่นั่งของ สก. จากพรรคหลักของรัฐบาลคือ พรรคพลังประชารัฐ ได้เพียง 2 เสียง ในขณะที่เพื่อไทยได้ 20 ที่นั่ง ก้าวไกลได้ 14 ที่นั่ง ได้เสียงเกินกว่าครึ่งในสภา

Advertisement

ดังนั้น ชัยชนะของ “อดีตนักโทษรัฐประหาร คสช.- ชัชชาติ สุทธิพันธ์” จึงเป็นความมหัศจรรย์ทางการเมืองที่อาจกลายเป็น “ความตระหนกตกใจ” สำหรับชนชั้นนำ ผู้นำทหารขวาจัด และกลุ่มขวาสุดโต่งทั้งหลาย หรือเรียกง่ายๆว่า พวกเขาเกิดอาการ “ช๊อคทางการเมือง” (political shock) เพราะคนเหล่านี้ยังเชื่อเสมอว่า ระบอบอนุรักษนิยมสุดโต่งที่ถูกผลักดันผ่านการจัดตั้งรัฐบาลสืบทอดอำนาจของผู้นำทหารนั้น จะชนะในทุกเรื่อง และจะชนะในการเลือกตั้งที่กรุงเทพด้วย

ในความเป็นจริง พวกเขาแพ้ และแพ้อย่างยับเยิน จนต้องเรียกในสำนวนคนเชียร์มวยว่า “แพ้อย่างหมดรูป” … สัญญาณความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของกลุ่มอนุรักษนิยมขวาจัดเริ่มปรากฎให้เห็นแล้ว แม้จะตามมาด้วยเสียงเรียกร้องของกลุ่มการเมืองที่เรียกว่า “สลิ่ม” ที่ต้องการให้ผู้นำกองทัพทำรัฐประหารอีกครั้ง ข้อเรียกร้องเช่นนี้เป็นความ “น่าสมเพช” ทางการเมือง จนสะท้อนถึงภาวะถดถอยครั้งใหญ่ของปีกขวาจัดอย่างชัดเจน

แต่ถ้าปีกขวาสุดโต่งตัดสินใจใช้รัฐประหารเป็นเครื่องมือในการเอาชนะทางการเมืองอีกครั้งแล้ว พวกเขาควรต้องตระหนักว่า รัฐประหารครั้งใหม่ที่กรุงเทพจะทำให้ไทยเป็น “เมียนมา 2” อย่างแน่นอน ซึ่งราคาของการรัฐประหารไทยครั้งใหม่จะมีค่าใช้จ่าย “สูงมาก” แม้ปีกขวาจัดอาจจะ “ไร้สติทางการเมือง” จากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ แต่นายทหารที่คุมกำลังอาจจะต้องคิดด้วยสติมากกว่า เพราะถ้ารัฐประหารแพ้ต่อการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยแล้ว อนาคตทหารจะไม่จบลงอย่างในพฤษภาคม 2535 ที่ทุกอย่างผ่านไปแบบ “สบาย…สบาย”

อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ของปีกขวาจัดและกลุ่มสืบทอดอำนาจครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเสียงแตกจากการมีตัวแทนของฝ่ายขวาจัดหลายสายลงแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นสาย คสช สายพันธมิตร สายนกหวีด สายขวาเดิม แต่หากเอาคะแนนของคนเหล่านั้นมารวมกัน ก็ไม่สามารถเอาชนะ “อดีตนักโทษของรัฐบาลทหาร” ได้แต่อย่างใด แต่ปีกขวาจัดและกลุ่มสุดโต่งแพ้ เพราะความล้มเหลวของรัฐบาลสืบทอดอำนาจที่พวกเขาจัดตั้งขึ้นมา ดังจะเห็นได้ว่ารัฐบาลของผู้นำทหารชุดนี้ไม่ประสบความสำเร็จในเชิงนโยบายที่จะเป็นจุดขายทางการเมืองสำหรับฝ่ายขวาจัดได้เลย จนถูกกล่าวขานกันว่า เรื่องที่รัฐบาลชุดนี้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเรื่องเดียวคือ การจัดซื้ออาวุธให้กองทัพ ไม่ใช่ความสำเร็จในการสร้างชีวิตของประชาชน

ในขณะที่สังคมเผชิญวิกฤตโควิด วิกฤตสงครามยูเครน ที่ก่อให้เกิดวิกฤตต่างๆ รุมเร้าสังคมไทยในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการตกงาน ปัญหาราคาพลังงาน ปัญหาราคาสินค้า เป็นต้น รัฐบาลก็ยังเดินหน้าซื้ออาวุธไม่หยุด คงไม่ผิดนักที่ต้องกล่าวว่า “ชีวิตของประชาชนเป็นรองเสมอสำหรับรัฐบาลทหารสืบทอดอำนาจ”

แต่วันนี้การสื่อสารทางการเมืองของประชาชนได้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และเป็นการสื่อสารที่อาจจะทำให้ค่ำคืนของวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 ไม่ใช่เวลาแห่งความสุขเหมือนกันกับคืนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่อำนาจตกอยู่ในมือของผู้นำทหารชุดนี้อย่างง่ายดายด้วยการยึดอำนาจ จนบางทีอยากถามว่า เมื่อคืนวันอาทิตย์ ผู้นำ 3 ป. ยังหลับฝันดีไหม… แน่นอนเมื่อคืนที่ผ่านมา บรรดาปีกขวาจัดต้องหันไปดูกีฬาที่ฮานอยแทนดูผลเลือกตั้งที่กรุงเทพ

สัญญาณการสื่อสารทางการเมืองที่กรุงเทพมีความชัดเจนว่า วันเวลาของการสืบทอดอำนาจกำลังใกล้จะจบลงแล้ว และบางทีสังคมไทยอาจต้องรำลึกบทเรียนจากอดีตคู่ขนาน กล่าวคือ เมื่อย้อนกลับไป 30 ปีที่แล้ว ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2535 พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้นำทหารได้ประกาศลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นจุดสิ้นสุดของวิกฤต “พฤษภาทมิฬ” และเป็นจุดจบของรัฐบาลสืบทอดอำนาจ

24 พฤษภา 35 และ 22 พฤษภา 65 ดูจะเป็นสัญญาณการสื่อสารที่สอดรับกันถึงความเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาเช่นที่เกิดเมื่อ 30 ปีก่อน และทั้งยังเป็นสัญญาณที่ต้องเตรียมคิดเรื่องการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยอย่างจริงจังแล้ว

วันนี้ประชาชนสื่อสารแล้ว เหลือแต่เพียงผู้มีอำนาจเหล่านั้นได้ยินหรือไม่เท่านั้นเอง … อย่าตอบนะครับว่า ได้ยินแล้ว เลยต้องเตรียมยึดอำนาจตามข้อเรียกร้องของบรรดาสลิ่ม … รัฐประหารรอบใหม่จะเปลี่ยนภูมิทัศน์ไทยอย่างไม่คาดคิด และการเมืองไทยจะควบคุมไม่ได้ด้วย!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image