เลือกตั้งผู้นำสหรัฐ : สตรีคือเสียงสวรรค์ : โดย ปรีชาญาณ วงศ์อรุณ [email protected]

จุดสนใจของชาวโลก ณ เวลานี้ก็คือ ใครจะมีโอกาสได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐ

โดยข้อเท็จจริงแล้ว สหรัฐมีประชากรหญิงมากกว่าประชากรชายเกือบ 7 ล้านคน ในอัตรา 126 ล้านคนต่อ 119 ล้านคน ดังนั้น จึงมีจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมากกว่า

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดเมื่อปี 2012 ปรากฏว่าผู้หญิงอเมริกันออกมาใช้สิทธิ 71.4 ล้านคน ส่วนผู้ชายออกมาใช้สิทธิ 61.6 ล้านคน เป็นตัวเลขที่บ่งบอกว่า ผู้หญิงออกมาใช้สิทธิมากกว่าผู้ชายถึง 10 ล้านคน เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 1980 ที่ผู้หญิงออกมาใช้สิทธิมากกว่าผู้ชาย 5.5 ล้านคน

ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าวที่ไม่มีใครสามารถแก้ไขเป็นอื่นได้ จึงเป็นเรื่องยากมากๆ จนถึงขั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้สมัครคนใดคนหนึ่งจะชนะการเลือกตั้งหากผู้หญิงอเมริกันส่วนใหญ่ไม่สนับสนุน เรียกว่า ถ้าผู้หญิงส่วนใหญ่ตัดสินใจเทเสียงเลือกใคร คนนั้นก็มีโอกาสชนะเลือกตั้งค่อนข้างสูงมาก

Advertisement

การที่บารัค โอบามา สร้างประวัติศาสตร์เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐนั้น ส่วนสำคัญก็เป็นผลมาจากการได้รับการสนับสนุนจากผู้หญิงจำนวนมาก ในการเลือกตั้งปี 2008 ปรากฏว่าผู้หญิงร้อยละ 56 โหวตเลือกบารัค โอบามา ส่วนจอห์น แม็คเคน คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ได้เพียง 43 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับในอีกสี่ปีต่อมา ผู้หญิงอเมริกันกว่า 55 เปอร์เซ็นต์ ลงคะแนนเลือกบารัค โอบามา ในขณะที่มิตต์ รอมนีย์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกันได้รับเสียงโหวตจากสตรีเพียง 44 เปอร์เซ็นต์

ความแตกต่างดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงกลายเป็นเสียงชี้ขาดและเด็ดขาดที่ทำให้บารัค โอบามา ชนะการเลือกตั้ง ได้รับเสียงโหวตรวมทั้งประเทศมากกว่าคู่แข่งเกิน 9 ล้านเสียง (ปี 2008) และ 5 ล้านเสียง (ปี 2012)

เพราะฉะนั้น การที่ผู้หญิงมีจำนวนผู้ใช้สิทธิมากกว่าและมีพฤติกรรมไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมากกว่าผู้ชาย ผู้หญิงจึงกลายเป็นเสียงสวรรค์สำหรับการเลือกตั้งในปี 2016 อย่างไม่อาจจะเป็นอื่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ชาวอเมริกันมาลงทะเบียนตามกฎหมายเพื่อประสงค์ใช้สิทธิเลือกตั้งเกิน 200 ล้านคน

Advertisement

เพราะเหตุนี้เอง ทั้งฮิลลารี คลินตัน แห่งพรรคเดโมแครต และโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งพรรครีพับลิกัน จึงต้องโฟกัสและให้ความสำคัญกับผู้หญิงมากเป็นพิเศษ เพราะถือเป็น “เสียงสวรรค์” ที่จะตัดสินชี้ขาดผลแพ้ชนะได้ เว้นเสียแต่ว่า ผู้ชายอเมริกันแห่กันมาใช้สิทธิ (เกือบ) ทุกคน และผู้หญิงพากันนอนหลับทับสิทธิไม่อยากเลือกใคร

หากพิจารณาจากข้อมูลและข้อเท็จจริงดังกล่าวโดยพื้นฐานแล้ว ฮิลลารีคลินตัน ซึ่งเป็นผู้สมัครหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ควรจะเป็นผู้ได้เปรียบ บวกกับพฤติกรรมของผู้หญิงอเมริกันส่วนใหญ่ในการเลือกตั้ง 6 ครั้งล่าสุดนับตั้งแต่ปี 1992 ที่เลือกผู้สมัครของพรรคเดโมแครตมากกว่าผู้สมัครของพรรครีพับลิกัน ก็ยิ่งมีเหตุทำให้อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งคนนี้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฏว่าผู้หญิงอเมริกันจำนวนมากกลับไม่ได้ชื่นชมฮิลลารี คลินตัน สักเท่าไร ไม่ได้มองว่าคลินตันเป็นตัวแทนของผู้หญิง และไม่ได้ภูมิใจหรือยินดีปรีด์เปรมที่จะเห็นคลินตันสร้างประวัติศาสตร์เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐ นี่คือสิ่งที่ฮิลลารี คลินตัน และผู้สนับสนุนวิตกกังวล

ฮิลลารี คลินตัน และทีมงานคิดคำนวณหาหนทางว่าจะทำอย่างไรที่จะโน้มน้าวทำให้ผู้หญิงอเมริกันเลือกผู้สมัครหญิงด้วยกัน เหมือนกับที่ผู้หญิงผิวสีกว่าร้อยละ 96 เทเสียงโหวตเลือกผู้สมัครผิวสีอย่างบารัคโอบามา อย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งปี 2008 และ 2012

ครั้งหนึ่งเมื่อตอนต้นปีนี้ เมเดลิน อัลไบร์ท ซึ่งเคยสร้างประวัติศาสตร์เป็นรัฐมนตรีหญิงคนแรกแห่งกระทรวงต่างประเทศในยุคสมัยบิล คลินตัน เมื่อเกือบสองทศวรรษก่อน ช่วยรณรงค์หาเสียงให้กับฮิลลารี คลินตันด้วยการสื่อสารไปยังผู้หญิงอเมริกันทั้งหลายโดยเฉพาะกลุ่มคนวัยสาว วัยรุ่น วัยทำงานให้ตระหนักไว้ว่า มีพื้นที่พิเศษในนรกที่จะกันสำรองไว้ให้กับผู้หญิงที่ไม่คิดช่วยผู้หญิงด้วยกัน

แปลแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือว่า หากผู้หญิงไม่คิดช่วย (เลือก) ผู้หญิงด้วยกันแล้วก็ไปลงนรกเสียเถิด แต่ดูเหมือนคำพูดนี้จะไม่เข้าหูสาวๆ อเมริกันสักเท่าไหร่ และยังไม่มีเหตุจูงใจให้ต้องเปลี่ยนใจหันมาเลือกฮิลลารี คลินตัน เพียงเพราะเหตุผลความเป็นผู้หญิงด้วยกัน บางส่วนอาจถึงขั้นยอมลงนรกยังดีเสียกว่าให้ทำใจเลือกฮิลลารี คลินตัน อะไรทำนองนั้น

ด้วยเหตุนี้เอง ภายใต้ทฤษฎีสมคบคิดที่น่าเชื่อว่าผ่านการคิดคำนวณหวังผลทางการเมืองเป็นอย่างดีแล้ว จึงปรากฏคลิปวิดีโอเก่า (ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2005) ถูกนำมาเปิดเผยสู่สาธารณชน โดยหนังสือพิมพ์ The Washington Post เพื่อให้คนอเมริกันเห็นว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำประเทศ เพราะพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามสตรีเพศอย่างรุนแรง เรียกว่า เทปฉาวนี้มุ่งเป้าไปที่บรรดาสตรีผู้มีสิทธิออกเสียงเป็นสำคัญ

นอกเหนือจากเนื้อหาของเทปที่บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงทัศนคติ (ด้านลบ) ของโดนัลด์ทรัมป์ ที่มีต่อผู้หญิงแล้ว ช่วงเวลาของการนำเทปเก่า (ที่เกิดขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้วมา) เผยแพร่ในช่วงระยะเวลาที่เหลือเพียงหนึ่งเดือนก่อนถึงวันเลือกตั้งก็ถือว่าหวังผลมากที่สุด เพราะโดยปกติแล้ว ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยมักจะตัดสินใจ (ว่าจะเลือกใคร) ในช่วงเดือนสุดท้าย

ดังนั้น การรณรงค์หาเสียงในช่วงโค้งเดือนสุดท้ายจึงกลายเป็นมุ่งเน้นในเรื่องของผู้หญิงเป็นสำคัญ จนเรียกได้ว่านโยบายการหาเสียงในด้านต่างๆ กลายเป็นเรื่องรองไปโดยปริยาย

ฮิลลารี คลินตัน พยายามตอกย้ำให้ชาวอเมริกันเห็นว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชายกักขฬะ ดูถูกเหยียดหยามผู้หญิงอย่างมากๆ  ในขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง พยายามโน้มน้าวให้คนอเมริกัน เชื่อว่า ถึงจะผิดแต่ตัวเขาเองเป็นเพียงแค่คิดไม่ดี พูดไม่ดีต่อผู้หญิงเท่านั้น แต่บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีและคู่ชีวิตของฮิลลารี คลินตัน หนักยิ่งกว่าเพราะมีพฤติกรรมกระทำไม่ดีกับผู้หญิงมาแล้ว แถมฮิลลารี คลินตัน ยังยืนเคียงข้างสามีได้อีกแทนที่จะปกป้องลูกผู้หญิงด้วยกัน

แต่ใครจะเชื่อว่า เทปฉาวจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยทำให้คะแนนนิยมในตัวฮิลลารี คลินตัน เพิ่มสูงขึ้นจนทิ้งห่างโดนัลด์ ทรัมป์ ถึง 14 จุด (คิดเป็นคะแนนหลายล้านเสียง) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง ปรากฏว่าคลินตันมีคะแนนนำทรัมป์สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 33 จุด (จนถึงขั้นเชื่อว่าจะชนะอย่างถล่มทลาย) ซ้ำร้ายเหมือนไม่ระมัดระวังและจดจำบทเรียนที่ส่งผลเสียหายต่อเป้าหมายทางการเมืองอย่างมหาศาล ไม่น่าเชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะก้าวพลาดทำผิดซ้ำสองในระยะเวลาห่างกันเพียงไม่ถึงสองสัปดาห์ ด้วยการเรียกขานฮิลลารี คลินตัน ต่อหน้าธารกำนัลว่าเป็น “nasty woman” คล้ายๆ “อีนางร้าย” หรือ “นางแม่มด” ในโทนเสียงของการไม่ให้เกียรติสตรี จนส่งผลทำให้บรรดาผู้หญิงหันมาเลือกอยู่ข้างคลินตัน ฮิลลารี มากขึ้นๆ มากถึงขั้นเป็นจุดชี้ขาดที่สามารถโน้มน้าวทำให้ผู้หญิงอเมริกันทั้งหลายตัดสินใจเลือกทั้งพรรคเลือกทั้งเพศไปพร้อมๆ กัน

ถึงที่สุดแล้ว ผู้หญิงกลายเป็นจุดอ่อนจุดตายของโดนัลด์ ทรัมป์ ในเส้นทางฝันสู่ทำเนียบขาวอย่างน่าเจ็บช้ำ เรียกได้ว่า  ฮิลลารี คลินตัน โชคดีมากๆ ที่ได้รับการหนุนเสริมจากคู่แข่งแบบฟรีๆ การที่ผู้หญิงอเมริกันเริ่มมีแนวโน้มว่าเทคะแนนโหวตเลือกฮิลลารี คลินตัน มากขึ้นๆ นั้น ส่วนสำคัญไม่ใช่เพราะความเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะชื่นชมความเป็นผู้นำของฮิลลารี คลินตัน และไม่ใช่เพราะชื่นชอบนโยบายหาเสียงของผู้สมัครหญิงคนนี้ แต่จำใจต้องเลือกเพราะไม่พึงพอใจและไม่ต้องการเห็นโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไป

จากความรู้สึกเดิมๆ ที่สตรีอเมริกันจำนวนมากไม่เชื่อมั่น ไม่เชื่อถือในตัวฮิลลารี คลินตันแต่การยิงเข้าประตูตัวเองของ  โดนัลด์ ทรัมป์ เพราะความ “ปากร้าย” ก็ส่งผลทำให้ผู้หญิงจำนวนมากขึ้นๆ เกิดอยากได้ “อีนางร้าย” เป็นประธานาธิบดีขึ้นมา เพราะเชื่อว่า ความเป็น “อีนางร้าย” ที่ยืนหยัดไม่จำยอมก้มหัวให้กับบรรดาผู้ชายทั้งหลายนั้นคือคุณสมบัติสำคัญและจำเป็นสำหรับผู้นำหญิงของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ

การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐในวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายนนี้ จึงเป็นการเลือกตั้งที่แปลกกว่าทุกๆ ครั้ง เพราะคนอเมริกันไม่ได้เลือกผู้สมัครที่ดีที่สุดหรือนโยบายดีที่สุด แต่ดูเหมือนต้องเลือกระหว่างคนที่เลวน้อยกว่า

ในช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้ง หากพระเจ้าไม่เข้าข้างโดนัลด์ ทรัมป์ หรือว่าฮิลลารี คลินตัน ไม่เกิดสะดุดหกล้มด้วยความอื้อฉาวของ “อีเมล์” สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศหรือเรื่องอื้อฉาวอื่นๆ แล้ว โอกาสที่ฮิลลารี คลินตัน จะสร้างประวัติศาสตร์เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกและเป็นอดีตสตรีหมายเลขหนึ่งคนแรกที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศก็มีมากขึ้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงปี 2020 เพื่อฉลองโอกาสครบรอบหนึ่งศตวรรษที่ผู้หญิงอเมริกันมีสิทธิลงคะแนนเสียง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image